Friday, September 19, 2014

Just Give Me A Reason

Just Give Me A Reason
.
.
.
.
.
จงอินใกล้จะเป็นบ้าเต็มที เขาไม่รู้ว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตกันแน่
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ผ่านมาทำอะไรลงไป พูดอะไรออกไป แต่สิ่งเดียวที่รับรู้ในตอนนี้คือ
คนที่อยู่ข้างกายเขากำลังเปลี่ยนไป อ้อมกอดที่เคยอบอุ่น เสียงนุ่มที่เคยปลอบโยน
ในวันนี้มันไม่มีอะไรเหมือนเดิม และนั่นมันกำลังทำให้เขาใกล้จะบ้าเข้าไปทุกที
.
.
ร่างสูงถดตัวเข้ามุมห้องแล้วกอดเข่าตัวเองเงียบๆ ในความมืดมิดของห้องนอน
นึกย้อนกลับไปในวันที่ตนเองกับคยองซูมาเจอกัน เก็บรวบรวมชิ้นส่วนของจงอิน
ซึ่งแตกกระจายกลับมารวมกัน ซ่อมเขาทีละเล็กละน้อย และลงท้ายด้วยการอาศัย
อยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน ช่างเป็นความบังเอิญที่ดูโรแมนติกเสียจริง
.
.
แต่ในวันนี้ทุกอย่างดูเปลี่ยนไป คยองซูคงเหนื่อยเกินกว่าจะซ่อมแซมเขาแล้ว
ตอนนี้คงจะรู้แล้วสินะว่า จงอินน่ะมันเกินจะเยียวยา เกินจะรักษาเอาไว้อีกต่อไป
ก็เพราะว่าอะไรที่มันพังไปแล้ว ก็ยากที่จะซ่อมแซม
.
.
.
.
.
เสียงฟ้าคำรามดังมาจากที่ไกลแสนไกล สายลมเย็นหอบเอาละอองน้ำเม็ดๆ มาทักทาย
เด็กนักเรียนที่กำลังรีบเดินออกจากรั้วโรงเรียนเพื่อกลับบ้านของตน ก้อนเมฆสีดำค่อยๆ
กลืนกินท้องฟ้าสีสดใสทีละนิดจนกระทั่งมันบดบังแสงสีทองยามเย็นเอาไว้ได้
แสงสว่างจากฟ้าแลบมีเป็นระยะและนั่นทำให้เด็กๆ ต้องรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
.
.
คิมจงอินยกมือขึ้นจับสายกระเป๋าที่ตกอยู่ตรงแขนขึ้นมา พลางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
รองเท้าผ้าใบสีขาวแสนเก่าเหยียบไปตามถนนอิฐบล็อกสีส้มซึ่งเป็นทางกลับบ้านของเขา
แต่ดูท่าจะช้าไปเมื่อเด็กชายสัมผัสถึงหยดน้ำเม็ดเล็กๆ ที่ตกลงตรงแก้มเขา
ก่อนจะตามมาด้วยอีกเม็ดบนศีรษะ และสุดท้ายรอบกายก็เต็มไปด้วยสายฝน
.
.
เขาเปลี่ยนจากก้าวเดินเร็วๆ เมื่อกี้เป็นแบบเชื่องช้าแทน ไหนๆ ก็เปียกแล้ว
ไม่รู้จะรีบเดินไปทำไม จากย่านชุมชนซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียน ตอนนี้เขากำลังเดิน
ออกมาแถบด้านนอกของชุมชนที่ไม่ค่อยมีคนอาศัยอยู่เท่าไร อันที่จริงแล้วมันไม่ควร
เรียกว่าบ้านด้วยซ้ำ มันเป็นรถบ้านคันใหญ่เก่าๆ ที่มีข้าวของเครื่องใช้เพียงนิดหน่อย
.
.
ครอบครัวของเขาเป็นเหมือนคนเร่ร่อน ที่หาเงินจากการทำงานเป็นลูกจ้างเล็กๆ น้อยๆ
พ่อแม่ต้องนอนเบียดกันในรถ ส่วนจงอินต้องนอนกับพื้นข้างประตู ช่วงหน้าหนาว
จะเป็นสิ่งที่ทรมานที่สุดเพราะรถของพวกเขาไม่มีเครื่องทำความร้อน เวลาจะใช้ห้องน้ำ
หรืออาบน้ำก็จะไปพึ่งโรงอาบน้ำสาธารณะแทน ในบางครั้งก็โดนไล่ที่ให้ไปจอดที่อื่น
ซึ่งนั่นเป็นเหตุที่ทำให้ต้องย้ายโรงเรียนอยู่บ่อยครั้ง จากจังหวัดนั้นไปจังหวัดนี้
ราวกับคณะละครสัตว์ที่เร่ร่อนไปทั่ว พวกเขายากจนเสียจนต้องอดมื้อกินมื้อ
สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเขาคือโทรทัศน์แสนเก่าเครื่องเล็กที่วางอยู่เหนือหัวของเขาในรถบ้าน
.
.
เด็กชายเลี้ยวเข้าไปในพุ่มไม้พลางใช้มือช่วยแยกกิ่งไม้ออกจากกัน รถบ้านของเขา
จอดอยู่หลังพุ่มนี้ รองเท้าสีขาวเปรอะดินโคลนจนกลายเป็นสีน้ำตาล และสายฝนก็ทวี
ความแรงขึ้น จนตอนนี้เส้นผมสีดำมันลู่ไปตามใบหน้า และเมื่อหลุดออกมาจากพุ่มไม้
สิ่งที่เขาเห็นนั้น แทนที่จะเป็นรถบ้าน กลับเป็นความว่างเปล่า
.
.
รอยล้อรถบนโคลนยังดูใหม่อยู่ พวกเขาเพิ่งจะขับออกไปได้ไม่นาน จงอินกวาดสายตา
มองด้วยความรู้สึกที่สับสน เขาก้าวเดินเข้าไปใกล้ตรงที่ที่เคยมีรถบ้านอยู่ แต่บัดนี้เป็น
กระเป๋าเดินทางใบขนาดย่อม พร้อมกับถุงพลาสติกที่มัดตรงหูจับเอาไว้
มืออันสั่นเทาเอื้อมไปหยิบถุงมาเปิดดู ภายในมีซองจดหมายสีขาวสองซอง
.
.
ซองแรกเป็นเงินสดที่มีอยู่เพียงห้าพันวอนเท่านั้น ส่วนอีกซองเป็นจดหมายเขียนว่า
มีชาวบ้านมาไล่ที่ และพวกเขารอจงอินกลับจากโรงเรียนไม่ไหวจึงขับรถออกไป
เนื้อความทั้งหมดมีเพียงเท่านี้ พวกเขาไม่ได้บอกว่าจะไปรอที่ไหน หรือกำลังไปที่ใด
นั่นแปลว่า เขาถูกทิ้งสินะ
.
.
เด็กชายเดินถือกระเป๋าเปื้อนโคลนไปตามทางเดิน ขายาวก้าวเดินอย่างไร้จุดหมาย
สายฝนโหมกระหน่ำราวกับซ้ำเติมโชคชะตาแสนแย่ของเขาให้มันพังทลายลงไปอีก
สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะทรุดตัวลงนั่งอยู่ที่ข้างถนน ฟุบหน้าลงกับเข่าแล้วร้องไห้ออกมา
หยดน้ำตากับสายฝนรวมกันเป็นหนึ่งเดียว และได้เสียงฟ้าร้องช่วยกลบเสียงสะอื้น
.
.
แต่อยู่ดีๆ ฝนก็หายไป จงอินเงยหน้าขึ้นมาพบกับผู้ชายคนหนึ่งใส่เสื้อสีขาวเหมือนพวก
คนที่ทำขนมในละคร มือของเขาถือร่มสีเหลืองสดใส ที่เหมือนกับรอยยิ้มของเขาเอาไว้
"เป็นอะไรรึเปล่า" เสียงนุ่มเอ่ยด้วยความห่วงใย แต่จงอินเลือกที่จะเงียบ
เขาเบือนใบหน้ามองไปทางอื่น ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะมาตอบคำถามใครทั้งนั้น
.
.
แต่ชายหนุ่มคนนั้นก็ยังคะยั้นคะยอถามชื่อเขา ทั้งยังแนะนำตัวเสียยาวเหยียดว่าตนชื่อ
คยองซู เป็นเจ้าของร้านขนมปังข้างๆ ถ้าไม่รังเกียจอะไรจะเข้าไปหลบฝนก่อนก็ได้
สำหรับเด็กที่ถูกพ่อแม่ทิ้ง ไม่มีที่จะไป บ้านก็ไม่มีอยู่ คงไม่มีทางเลือกอื่น
นอกจากตามเข้าไปในร้าน และนั่นคือเหตุการณ์พวกเขาทั้งสองคนได้พบกัน
.
.
.
.
.
ราวสองเดือนแล้วที่จงอินใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การดูแลของคยองซู ตั้งแต่วันนั้นที่เขาเข้ามา
หลบฝนตามคำชวน ชายหนุ่มคนนั้นซักไซ้ไล่เลียงถามคำถามจนสุดท้ายก็ได้รู้ว่า
เด็กชายมอปลายคนนี้ถูกพ่อแม่ทิ้งเอาไว้ มีเงินติดตัวเพียงห้าพันวอน
และไม่มีที่จะซุกหัวนอนด้วยซ้ำ
.
.
แน่นอนว่าเจ้าของร้านขนมปังเล็กๆ ในเมืองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรที่จะอุปการะเด็กคนนี้
คยองซูเดินเรื่องทำเอกสารมากมายเพื่อจะให้จงอินมาอยู่ภายใต้การดูแลของเขา
มันค่อนข้างที่จะแปลกประหลาดไปนิดที่อยู่ดีๆ คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนในชีวิตจะใจดี
ได้เพียงนี้ เด็กชายทำสิ่งตอบแทนได้เพียงตั้งใจเรียนหนังสือและช่วยทำงานที่ร้าน
ทุกอย่างเท่าที่เขาจะทำได้
.
.
จากสองเดือน เป็นครึ่งปี ความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาขึ้นจากผู้ปกครอง มาเป็นคนรัก
ไม่มีใครที่โรงเรียนรู้ และไม่มีใครในเมืองซักคนที่รู้ ทุกคนทราบเพียงแต่คยองซู
เป็นผู้ปกครองแทนพ่อแม่ของจงอินที่ทิ้งเขาไป อีกทั้งสองคนก็ปฏิบัติตัวตามปกติ
เวลาที่ออกไปข้างนอก ไม่เคยจับมือถือแขน ไม่เคยโอบกอดกัน
มีแค่เพียงสายตาที่มองกันไปมาเท่านั้น
.
.
และมีอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่มีใครรู้แม้แต่คยองซูเอง อันที่จริงจงอินพยายามปกปิดมันเอาไว้
มันไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ ก็ต้องมารับรู้ด้านนี้ของเขา ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาซ่อมแซม
ส่วนที่พังไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมารักษา
.
.
จงอินชอบกรีดข้อมือ ครั้งแรกที่เขาได้ลองคือตอนสามเดือนหลังจากที่พ่อแม่เขาทิ้งไป
ทั้งๆ ที่เพื่อนที่โรงเรียน คุณครู ทุกคนในเมืองก็ดีกับเขามาก เพราะต่างสงสาร
ที่โดนพ่อแม่ทิ้งไป แต่ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจที่ทำให้ลอง และจากนั้นเขาก็เสพติดมัน
.
.
เขาเริ่มกรีดจากแผลเล็กๆ แค่พอเลือดซิบ และก้าวไปสู่แผลที่ลึกขึ้น มากขึ้น
จนสุดท้ายทั้งแขนก็เต็มไปด้วยรอยใบมีดโกน ความเจ็บปวดทั้งหลายถูกระบาย
ผ่านหยดเลือดและรอยแผลที่แขน
.
.
คยองซูไม่เคยรู้มาก่อน เพราะจงอินชอบใส่เสื้อแขนยาวหรือไม่ก็ใส่เสื้อคลุมเอาไว้
ทุกครั้งที่กรีดข้อมือก็มักจะทำในห้องน้ำ เพื่อที่จะได้มั่นใจว่าเขาเช็ดเลือดออกหมด
.
.
แต่ใครจะรู้ว่าวันนี้คยองซูจะกลับขึ้นมาบนห้องเร็ว ใครจะรู้ว่าวันนี้ที่ร้านจะขายขนมปัง
หมดไว ชายหนุ่มตัวเล็กเปิดประตูห้องชั้นสองเข้ามาและเดินหาจงอินเพราะอยากถาม
ว่าเย็นนี้จะออกไปกินอะไรกันดี มือบางผลักประตูห้องน้ำให้เปิดออกแล้วเรียกชื่อ
ก่อนจะเบิกตาโตด้วยความตกใจเมื่อเห็นรอยแผลสดๆ ที่แขนนับสิบรอยเต็มไปหมด
หยดเลือดสีแดงฉานซึมออกมาจากปากแผล และไหลลงมาตามท่อนแขน
ก่อนจะหยดลงกับพื้นห้องน้ำเป็นวงๆ 
.
.
จงอินหันไปมองอีกคนด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าคยองซูจะมาเจอเขาในสภาพนี้
ร่างเล็กยกมือขึ้นปิดปากก่อนจะค่อยๆ ก้าวเดินไปใกล้ ใบหน้านั้นซีดจนดูราวกับจะลม
ไปได้ในทุกขณะ ดวงตากลมโตเงยมองเขาทั้งน้ำตา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และทำไมทำแบบนี้ เขานิ่งเงียบ ไม่รู้จะตอบคำถามพวกนั้นอย่างไร
.
.
คยองซูขยับเข้ามาใกล้แล้วสวมกอดเขา อ้อมกอดนั้นรู้สึกปลอบโยนเขาได้มากกว่าทุกวัน
อาจจะเพราะคิดไปเอง หรือมันอาจจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ
.
.
หลังจากทำแผลเสร็จ ทั้งคู่ก็เลือกที่จะนั่งคุยกันบนโซฟาตัวเล็กหน้าโทรทัศน์
เป็นอีกครั้งที่คยองซูซักไซ้ ถามคำถาม ต้อนเขาจนจนมุม และจงอินก็คายความลับ
เรื่องนิสัยการกรีดข้อมือของตัวเองออกมา ความเงียบก่อขึ้นรอบกายพวกเขา
มีเพียงเสียงลมหายใจหลังจากที่จงอินสารภาพทุกอย่างออกมา
.
.
คยองซูนิ่งเงียบอยู่ซักพักสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเอ่ยปากให้จงอินหยุดการกระทำนี้ซะ
ไม่ว่าในอดีตมันจะเป็นอย่างไร มันจะเกิดอะไรขึ้น แต่นั่นคือสิ่งที่ผ่านมาแล้ว
ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องไปพยายามลบพวกมันทิ้งไป
.
.
แต่ขอให้เก็บมันเอาไว้เป็นแรงผลักดันในชีวิตตัวเอง และขอให้จงอินสัญญา
ว่าเขาจะไม่ทำแบบนี้อีก ร่างสูงพยักหน้าเงียบๆ เพราะเขาไม่รับปากว่าจะทำได้ไหม
แต่ก็จะพยายามเลิกนิสัยแบบนี้ให้ได้
.
.
.
.
.
แต่แล้วคืนหนึ่งคยองซูก็เปลี่ยนไป เขาหลบตายามที่จงอินมอง เบี่ยงตัวออกยามที่
จะโอบกอด และในเวลากลางคืนก็นอนหันหลังให้ พร้อมทั้งเอาหมอนปิดหน้าแล้วร้องไห้
คยองซูพยายามสร้างกำแพงขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสองคน พยายามทำให้พื้นที่ว่าง
ระหว่างทั้งคู่กว้างมากขึ้นไปอีก จงอินยิ้มรับกับเหตุการณ์นี้ เพราะเขารู้ดีว่ายังไง
วันนี้มันก็ต้องมาถึงในไม่ช้าก็เร็ว เพียงแต่เขาไม่ได้คิดว่ามันจะเร็วเช่นนี้
.
.
แขนที่เต็มไปด้วยรอยแผลเอื้อมไปแตะเอวอีกฝ่ายที่นอนหันหลังให้ พลางเอ่ยปากถามว่า
เป็นอะไรหรือเปล่า แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาคือร่างเล็กถดหนีจากมือของเขา
และในเช้าวันถัดมา นี่เป็นครั้งแรกที่จงอินได้สังเกตอีกฝ่ายจริงจัง ใบหน้าซูบผอม
และซีดเซียว ดวงตาหม่นหมองและใต้ตาก็คล้ำจากการอดหลับอดนอน
.
.
แน่นอนว่าเขาเอ่ยปากถามว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม และคำตอบที่ได้คือความเงียบ
สถานการณ์เหล่านั้นมันเจ็บปวดมากจริงๆ และยิ่งเจ็บมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงว่าคยองซู
ไม่ได้รักเขาอีกต่อไป แต่เขาต้องการคยองซู เพราะในตอนนี้ และในอนาคต หรือไม่ว่าจะ
เมื่อไรก็ตาม คยองซูคือทุกสิ่งที่เขามี และเขาจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ต้องดำเนินต่อไปอีก
.
.
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ระหว่างที่พวกเขากำลังรับประทานมื้อเย็นกันอยู่ ความเงียบ
และเสียงช้อนส้อมทำให้จงอินแทบจะเป็นบ้า ไหนละเสียงหัวเราะที่เคยมีให้กัน
ไหนละรอยยิ้มที่เขาเคยได้ เด็กชายวางช้อนก่อนจะเอ่ยถามอีกฝ่ายเสียงเย็น
ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คยองซูเงยหน้าจากอาหารตรงหน้าแล้วเอ่ยถามกลับ
ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือราวกับจะร้องไห้ว่าจงอินหมายถึงอะไร
.
.
คำถามนั้นสะกิดให้เขายิ่งโมโหหนักกว่าเดิม จงอินเปลี่ยนจากจากพูดธรรมดา
เป็นการตะโกนแทน ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายในใจของเขาพรั่งพรูออกมา
ราวกับหยดเลือดในคืนนั้น
.
.
คยองซูคงจะนึกรังเกียจคนที่มีพฤติกรรมแบบนี้สินะ คงจะเพิ่งมารู้ตัวว่า
ไม่น่าเก็บเด็กอย่างนี้มาเลี้ยงดูเลย คงจะรู้สึกเสียดายเวลามากละสิ
ทุกครั้งที่ตะโกนออกไป ความรู้สึกของใบมีดที่ตัดผ่านเนื้อก็ยิ่งมากขึ้น
เขาอยากกรีดข้อมืออีกแล้ว ความรู้สึกพวกนี้มันกลับมาอีกแล้ว
.
.
ชายหนุ่มตัวเล็กเบิกตากว้างมองจงอินด้วยความงุนงง ไม่ใช่เลยสักนิด นี่มันไม่ใช่สิ่งที่
คิดเอาไว้เลย ริมฝีปากสีซีดสั่นระริกพยายามจะเอ่ยอธิบายแต่อีกฝ่ายก็ตะโกนกลับมา
"ผมมันไม่ดีพอใช่ไหม สุดท้ายคยองซูก็จะทิ้งผมไป เหมือนที่พ่อแม่ทำกับผมสินะ"
หยดน้ำตาไหลลงผ่านแก้มเมื่อได้ยินคำพูดพวกนั้น จงอินไปเอาความคิดนี้มาจากไหน
.
.
แต่สุดท้ายเขาก็รวบรวมแรงทั้งหมดที่มีและตะโกนกลับไปบ้าง "มันไม่ใช่นายไม่ดีพอ
แต่ฉันต่างหากที่ไม่ดีพอ นายคิดว่าฉันไม่เคยสังเกตรึไงว่าแผลที่ข้อมือมันมีมาใหม่ทุกวัน
นายคิดว่าฉันไม่เห็นสินะ คำสัญญาในวันนั้นที่บอกว่าจะไม่ทำอีก มันก็แค่ลมปากใช่ไหม
ฉันมันไม่ดีพอที่จะรักษาสัญญาใช่ไหม" สิ้นเสียงคยองซู จงอินก็ได้แต่ยืนนิ่ง
จำนนต่อคำพูดพวกนั้น ปล่อยให้พวกเขาทั้งสองคน จมดิ่งลงไปกับความเงียบในห้อง
.
.
ชายหนุ่มตัวเล็กก้าวเข้ามาหาจงอินก่อนจะดึงคนตัวสูงเข้าไปกอด เสียงนุ่มนั้นกระซิบ
แผ่วเบาว่าทุกครั้งที่เขาเห็นรอยแผลพวกนั้น มันทำให้เขาคิดว่าตัวเองยังไม่ดีพอ
ที่จะทำให้จงอินมีความสุขและหยุดกรีดข้อมือได้ เสียงสะอื้นของคยองซูป็นยิ่งกว่า
ความเจ็บปวดจากการกรีดข้อมือ
.
.
จงอินนิ่งอยู่ซักครู่ก่อนจะดันอีกฝ่ายออกแล้วใช้ ปลายนิ้วปาดน้ำตาให้
เขาโน้มตัวลงไปกระซิบคำขอโทษ พร้อมกับจูบคยองซู
เป็นจูบที่แสนเชื่องช้าและอ้อยอิ่งจนคยองซูต้องดันอีกฝ่ายออกเสียก่อนที่ตนเอง
จะหมดลมหายใจไป พวกเขาทั้งคู่มองตากันและจงอินเป็นฝ่ายที่หลุดหัวเราะออกมา
.
.
เขายืนมือไปแตะเบาๆ ที่หางตาของคยองซูแล้วกล่าวขอโทษอีกครั้ง ทั้งสองคนยิ้มให้กัน
ก่อนที่จะจงอินจะเอ่ยถามว่าคยองซูแน่ใจนะว่าจะไม่ทิ้งเขาไป ทั้งๆ ที่ได้เห็นด้านที่
เลวร้ายที่สุดของเขาแล้ว ได้รับรู้แล้วว่าเขาเองไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ
เสียงหัวเราะของร่างเล็กหลุดออกมาทันทีที่ได้ยินเขาพูด
.
.
จงอินขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าหัวเราะอะไร พร้อมกันกับที่คยองซูตอบกลับมาว่า
เขาไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งเหล่านั้นเลย ขอแค่สัญญาว่าจะหยุดพฤติกรรมนั้น และเชื่อในคำพูด
ยามที่เขาบอกว่าจะอยู่ข้างๆ จงอินเสมอเท่านั้นก็พอ ทั้งคู่ยิ้มกว้างก่อนจะรั้งอีกฝ่าย
เข้ามากอดแน่น เป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุดตั้งแต่พวกเขาอยู่ด้วยกัน

และมันจะเป็นแบบนี้เสมอไป

No comments:

Post a Comment