Friday, September 19, 2014

Aquarium

เวลากำลังเดินผ่านไปช้าๆ..
ในขณะที่ดวงตาคู่เล็กกำลังถูกตรึงด้วยเวทมนต์วิเศษจากสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆหลากหลายสีสันนับนานาพันธ์นั้น..

เหล่าแมงกะพรุนตัวน้อยค่อยๆเคลื่อนที่ไปในน้ำทะเลจำลองอย่างไร้ทิศทาง
เช่นเดียวกับความคิดของเขาที่ไม่มีใครอาจเข้าใจได้

อาจเป็นเพราะว่าผมจดจ่อกับธรรมชาติมากเกินไป ไม่ว่าจะสายน้ำ สรรพสัตว์ ท้องทะเล ผืนป่าหรือผืนฟ้าอันกว้างใหญ่
ผมคิดเสมอว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสรรค์สร้างมาอย่างสวยงาม ด้วยกรรมวิธีอันชาญฉลาด

สองสามวันมานี้มีผู้ชายท่าทางแปลกๆเข้ามาในชีวิตของผม
ผมไม่รู้จักชื่อของเขา แต่จำน้ำเสียงได้ และรูปร่างหน้าตาแบบนี้ก็มีคนเดียวในโลกเสียด้วย

เวลาสองทุ่มสิบห้านาที ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ ผู้ชายที่ว่าก็จะปรากฏตัวออกมาทุกครั้ง พร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้ม ดูร่าเริงกับทุกอย่างไปเสียหมด



วันนี้ก็เช่นกัน..

"คยองซู มารอฉันอีกแล้วเหรอ?"
นี่คือคำทักทายประโยคเดิมๆที่ผมฟังจนรู้สึกเบื่อ

"จะให้ผมบอกกี่ครั้งว่าผมอยู่ที่นี่ประจำอยู่แล้ว อีกอย่าง..ผมก็มาดูแลเจ้าพวกนี้ต่างหากล่ะ"
ผมชี้ไปที่เหล่าแมงกะพรุนตัวน้อยที่ว่ายวนเวียนอย่างช้าๆดูน่ารักพวกนั้น

"ฉันคิดว่ามันดูแลตัวเองได้นะคยองซู อ้อ! ฉันมีที่ที่อยากจะพานายไปมากๆเลยล่ะ"
ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ๆผม หยิบอะไรบางอย่างออกมา เป็นกล่องสีเหลี่ยมขาวๆ ขนาดพอดีมือ ไม่หนามาก แข็ง แล้วก็ดูแปลกตา เหมือนมีไฟฟ้าสถิต

"อะไรน่ะ?"

"หือ..ไอโฟนห้าเอสที่เพิ่งออกใหม่ไง ฉันว่ามันเจ๋งดี เก็บเงินซื้อตั้งนานน่ะรู้มั้ย?"
ผมทอดมองไปที่มันด้วยสายตานิ่งๆ ของสิ้นเปลืองทรัพยากรโลกล่ะสิไม่ว่า..


เขาใช้เวลาไม่นานกับการสัมผัสที่หน้าจอของมัน และในที่สุดมันก็ถูกส่งมาให้ผมถือ ข้างในปรากฏจอภาพคมชัด
..เป็นภาพของชายหาดสีมรกตสดใสที่เต็มไปด้วยผืนทรายขาวดั่งแป้งฝุ่น

"โอ้โห.. มีที่แบบนี้อยู่ในโลกด้วยเหรอ??"

"นายอยากไปไหมละ อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่มาก ฉันอยากพานายไป"
อันที่จริงผมก็อยากไปอยู่ แต่ตั้งแต่เกิดมาผมก็ไม่เคยออกไปจากที่นี่เลยซักครั้ง พิพิธภัณฑ์นี้เหมือนเป็นบ้านหลังที่สองของผม ไม่สิ.. เหมือนเป็นอีกหนึ่งชีวิตเลยต่างหาก
อีกอย่าง.. ผมไม่ถูกกับแสงแดดสุดๆ

"ทำหน้าแบบนี้ จะไม่ไปสินะ ฉันรู้เหตุผลหรอกน่า นายก็เพียรบอกฉันทุกครั้งอยู่แล้วนี่ แต่ฉันสัญญาว่าจะพานายกลับ แล้วทริปนี่ก็เป็นตอนกลางคืนด้วย รับรองว่าจะไม่ระคายผิวแน่นอนครับผม!"
ผมยอมรับว่าตัวเองเริ่มไขว้เขวเล็กน้อย.. พลันสายตาของผมเหลือบไปเห็นเจ้าเด็กน้อยทั้งหลายที่กำลังว่ายวนในน้ำ รวมกันเป็นกระจุกอยู่ที่ริมกระจกเสมือนกำลังแอบฟัง บางทีพวกเขาอาจจะอนุญาตให้ผมไปแล้วก็ได้มั้ง..

ว่าไงคยองซู ฉันอยากให้นายไปจริงๆนะ

"สัญญาด้วยนะว่าต้องพาฉันกลับมา.. "

สัญญา!




งั้น.. ไปก็ได้มั้ง..




__________________________________(1)________________________________



ยิ่งนึกถึงเหล่าแมงกะพรุนทั้งหลายที่คยองซูเฝ้าดูแลอยู่ทุกคืนนั้นเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ผมนึกถึงเจ้าคนตัวเล็กที่หลับใหลอยู่เบาะรถข้างๆไม่หาย

แมงกะพรุนถึงแม้จะมีรูปร่างเหมือนกันแต่ก็มีหลากหลายสีสัน
ถึงแม้จะดูลองล่อยไปในกระแสน้ำอย่างไร้ทิศทางแต่ก็มิอาจคาดเดา
ร่างกายโปร่งใสจนเห็นเนื้อใน หากแต่บอบบางควรค่าแก่การทะนุถนอม
และน่าค้นหา..กว่าสรรพสัตว์ใดใดทั้งมวล

โดคยองซูเองก็น่าค้นหากว่าใครทุกคนบนโลกใบนี้เช่นกัน..


"ตื่นได้แล้วคยองซู เรามาถึงกันแล้ว"
แรงลมกระโชกพัด เสียงคลื่นทะเลที่ซัดกระทบกับก้อนหินริมชายฝั่งราวกับกำลังปลอบโยนให้คนตัวเล็กค่อยๆลืมตาตื่นอย่างช้าๆ

"ถึง.. แล้วเหรอ?"
ดวงตากลมโตกระพริบตาถี่ๆมองไปรอบๆ มันค่อนข้างมืดจนมองไม่เห็นอะไรด้วยซ้ำ แต่อีกคนก็ดูจะตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อม ..อย่างกับว่าเขามองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจนอย่างนั้นล่ะ

ผมจูงมือคยองซูเดินเลียบไปตามชายหาดช้าๆ สายลมพัดเข้ากระทบที่ใบหน้าของเราทั้งคู่
ผมไม่ได้รักธรรมชาติขนาดคยองซู แต่ผมก็มีความสุข.. ที่รู้ว่าธรรมชาติทั้งหมดนี้ทำให้คยองซูยิ้มได้

"อยากลงเล่นน้ำมั้ย?"
ผมถามเขา ขณะที่ยังมองเห็นว่าดวงตาของเขาดูตื่นตาตื่นใจมากแค่ไหน แม้ว่าริมฝีปากสวยนั้นจะไม่ได้คลี่ยิ้มออกมา ไม่เคยเลยสักครั้งตั้งแต่ที่ผมรู้จักกับเขา แต่ถึงกระนั้นความรู้สึกอะไรบางอย่างก็ทำให้ผมสัมผัสมันได้

"ลงเล่นได้ด้วยเหรอ?"
เขาหันมาถาม

"ได้สิ ตามสบายเลย เดี๋ยวฉันรออยู่นี่นะ ฉันไม่ค่อยชอบเล่นตอนกลางคืนน่ะ"
คยองซูพยักหน้าให้ผม ก่อนจะละจากมือของผมไป
และมุ่งหน้าลงสู่ท้องทะเลอย่างกับกำลังจะกลับบ้านยังไงยังงั้น..


ไม่รู้สินะ..

ผมเห็นคยองซูครั้งแรกเมื่อสองวันที่แล้ว ในพิพิธภัณฑ์ที่พ่อผมถูกเรียกไปเป็นเกียรติในการแต่งกวีให้กับอะไรบางอย่าง ใช่ครับ พ่อของผมเป็นนักกวีนิพนธ์ชื่อดัง ส่วนผมเป็นช่างภาพอิสระ บ่อยครั้งที่พวกเราสามารถใช้สถานที่ทำงานร่วมกันได้ อย่างน้อยเราพ่อลูกก็ได้เชื่อด้านสุนทรียะกันมาทั้งคู่

ครั้งแรกที่เห็นคือคยองซูนั่งอยู่ที่หน้ากระจกตู้ทะเลจำลองขนาดใหญ่ หันหน้าเข้าหาตู้นั้น และมองแน่นิ่งเข้าไปข้างในเหมือนกับกำลังใช้ความคิด ผู้คนเดินผ่านไปมาราวกับไม่เห็นเขา แต่สำหรับผม มันดูน่าสนใจ และงดงามมาก

ผมไม่รู้ว่าช่วงกลางวันเขาไปอยู่ที่ไหน หรือเขามีบ้านอยู่ที่ไหนหรือเปล่า ผมรู้แค่ว่าพอตกกลางคืน เขาจะมานั่งเล่นที่หน้าตู้ทะเลจำลอง บางทีก็อ่านหนังสือ บางทีก็กวาดนู่นกวาดนี่ไปตามประสา ชุดที่คยองซูใส่จะเป็นชุดเดิม เสื้อตัวเดิม กางเกงตัวเดิม ราวกับว่าเขาไม่เคยอาบน้ำ แต่เนื้อตัวกลับสะอาดสะอ้าน และส่งกลิ่นไอหอมจางๆมาตลอด

ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ผมหลงรักเขาเข้าอย่างจัง และดูเหมือนมันจะก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

กลับมาที่ปัจจุบันต่อ มีความรู้สึกว่าคยองซูหายเข้าไปเรื่อยๆตามความมืดมิดของท้องฟ้า ผมเริ่มกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรรึเปล่า บางทีอาจจะสะดุดล้มแนวดินแถวนั้น หรือถูกคลื่นซัดให้อยู่ไกลฝั่งมากขึ้น

"คยองซู.. นายอยู่แถวนี้รึเปล่า?"
ผมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆกับชายหาดเท่าที่จะทำได้ เท้าเปล่าเริ่มเหยียบโดนน้ำเล็กน้อย แต่ก็ไร้เสียงตอบกลับมา

"คยองซู เฮ้ คยองซูอา.."

"ฉันยังอยู่ดี"
น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้ผมชะงักเท้าอยู่ที่เดิม

"นายไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม?"

"เปล่า ฉันสบายดี กำลังมีความสุขมากๆเลยล่ะ"

"ก็ดีแล้วล่ะ แต่ฉันว่านายขึ้นมาเล่นใกล้ๆหน่อยดีไหม ตรงนั้นมันมืดเกินที่ฉันจะมองนายเห็นน่ะ"

"เหรอ? แต่ฉันมองเห็นนายได้อย่างชัดเจนเลยนะ"
คยองซูพูดจาแปลกๆอีกแล้ว บางทีผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับทัศนคติของคนรักธรรมชาติเท่าไหร่

ช่างเถอะ ถ้ามีอะไรก็ตะโกนบอกฉันนะ

"ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เดี๋ยวมันก็สว่างแล้ว อีกซักพัก.. แสงจันทร์จะส่องประกายงดงาม"
คยองซูพูดจบลงแค่นั้น ก่อนจะเงียบไป ผมถอนกายใจอีกครั้งกับคำพูดแปลกๆที่ได้ยินจนเริ่มชิน ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่เดิมที่ตัวเองนั่งรออยู่




ผมแค่หันหลัง.. แต่ยังไม่ได้ก้าวเดิน


เพราะจู่ๆผมก็มองเห็นผืนทราย มองเห็นสิ่งรอบข้าง มองเห็นแม้กระทั่งเงาของตัวผมเองที่เกิดจากการหักเหแสง กระทั่งแสงสว่างนั่นเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆอยู่ที่ด้านหลังของผม..

"ก..เกิด..อะไรขึ้นน่ะ.."
ผมแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเองด้วยซ้ำ เมฆก้อนใหญ่ที่เคยบดบังแสงสว่างของพระจันทร์ค่อยๆเคลื่อนตัวออกช้าๆ แสงจันทร์ส่องสะท้อนสิ่งมีชีวิตเล็กๆในท้องทะเล ให้สว่างไสวดั่งกล่องแสงระยิบระยับมากมาย

ท้องทะเลอันกว้างใหญ่บัดนี้ท่อประกายสีสวยงดงาม เหนือธรรมชาติ
อย่างกับมีใครเอาสปอตไลท์อันใหญ่ส่องลงมาจากใต้บาดาล แล้วสะท้อนขึ้นมายังผิวน้ำ

ถ้าหากว่าตาของผมไม่พร่ามัวจนเกินไป ถ้าหากว่าสติของผมยังดีอยู่
และถ้าหากว่าเดาไม่ผิด ผมคิดว่าเจ้าตัวสว่างไสวที่ว่านั่นมันจะเป็น



..แมงกะพรุน


แล้วคยองซูล่ะ? เขาอยู่ในนั้นไม่ใช่เหรอ?!

คยองซู ขึ้นฝั่งมาเร็ว แมงกะพรุนเต็มไปหมดแล้ว นายจะโดนพิษมันเข้านะ!
ผมวิ่งเข้าไปในทะเลทันทีเมื่อนึกได้ เท้าเปล่าสัมผัสเข้ากับหนวดและแขนงที่ยื่นมารอบปากของเจ้าสิ่งมีชีวิตพวกนี้ รู้สึกคันไปทั่วขา แต่เชื่อไหมครับ.. ว่าจู่ๆพวกมันก็หลีกทางให้กับผม
พวกมันที่แห่ขบวนกันมาอย่างมากมาย ค่อยๆเคลื่อนตัวถอยออก แล้วแหวกทางเป็นแนวให้ผมเดินไปหาคยองซู

ผมขนลุกไปหมดทั้งตัว.. แสงจากดวงจันทร์ส่องกระทบเข้าที่ผิวขาวของคยองซูจนมันดูใส ใสเสียจนโปร่งบางแทบจะทะลุมองเห็นไปยังอีกฝากของทะเล  หัวใจของผมเต้นสั่นระริก ทั้งกลัวและตกใจ หากแต่สมองกลับสั่งการให้ผมเดินไปหาเขา ไม่รู้ว่าสมองหรือหัวใจของผมกันแน่

ผมเห็นคยองซูยิ้มเป็นครั้งแรก มันเหมือนกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้ามาในโสตประสาทสมอง
หัวใจของผมเต้นแรงกว่าเดิม ไม่ใช่เพราะความกลัว
แต่เป็นเพราะความรัก
ดั่งกับโดนมนต์สะกด ให้หลงใหลในใบหน้านั้น ดวงตาคู่นั้น และรอยยิ้มนั้น

นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหม?”
ผมถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ คนตัวเล็กพยักหน้าให้กับผม

นายรู้ไหม ตลอดว่าแม่ของฉันเคยบอกว่าฉันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีสมอง ไม่มีกระดูกสันหลัง ไม่มีระบบหายใจ ระบบหมุนเวียนเลือด หรือแม้กระทั่งหัวใจ ฉันไม่เคยรู้ว่าการรักใครซักคนมันเป็นยังไง มนุษย์ต่างพูดกันว่าพวกเขาจะรู้สึกหัวใจเต้นแรงเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่เขารัก แต่ฉันไม่ ฉันไม่มีหัวใจ และฉันก็ไม่รู้ว่าที่ฉันรู้สึกอยู่มันเรียกว่ารักหรือเปล่า ฉันมีแค่มัดเส้นประสาทอันนิดเดียวที่จะมายืนยันความรู้สึกตอนนี้ได้ มันอาจดูเร็วเกินไป แต่..

"ไม่ คยองซู.. ฉันเข้าใจ"
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ผมเอื้อมมือไปจับมือของคยองซูเอาไว้ แล้วยกขึ้นทาบอกข้างซ้ายของผม
นายรู้สึกถึงมันใช่ไหม..

เวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ผมเชื่อแล้วว่าความรักมักก่อตัวอย่างรวดเร็วเสมอ
ช่วงเวลาแค่สามวันมันช่างคุ้มค่าเหลือเกิน รู้สึกมีความสุขทุกวินาทีที่ได้อยู่ใกล้ๆ
ผมไม่รู้ว่าที่อยู่ตรงหน้าของผมตอนนี้คืออะไร คือความฝัน คือจิตนาการ หรือความจริงกันแน่
แต่ที่พอจะสรุปได้ตอนนี้คือ หัวใจของผมถูกคยองซูชิงไปเสียแล้ว..

ว่าสำหรับฉันนั้นเธอคือทุกสิ่ง เป็นแรงบันดาลใจเป็นทุกๆ อย่าง
เธอเชื่อมให้ฉันเห็นภาพที่สวยงามของชีวิต …แม้ว่าเรายังไม่ทันได้รู้จักกันเลย



คุณเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกไหม?



ที่คุณได้พบใครสักคนหนึ่งในช่วงเวลาสั้นๆ
แล้วคุณก็หลงรักคนๆนั้นแม้ว่าจะไม่ได้รู้จักเขาด้วยซ้ำ

คนที่คุณรู้สึกว่าคุณตายแทนเขาได้ ทั้งๆที่ชีวิตคุณก็มีแค่ชีวิตเดียว
คนที่คุณรู้สึกว่าคุณอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้คุณก็มีชีวิตอยู่ได้มาก่อน




..สำหรับผม ผมคิดว่ามันแปลก..

สิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั้งมวลบนโลกใบกว้างนี้มันช่างมากมายเหลือเกิน
แต่มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ที่ผมรู้สึกแบบนี้ด้วย

ผมไม่เคยพอใครมาเที่ยวทะเล ผมไม่เคยจูงมือใครเดินบนชายหาด
ไม่เคยแอบหนีเข้ามาพิพิธภัณฑ์ที่ปิดตั้งแต่หนึ่งทุ่มทุกคืนเพียงเพื่ออยากเจอคยองซู
ไม่เคยต้องมานั่งกังวลว่าทะเลที่ไหนสวย ทะเลที่ไหนบรรยากาศดีที่สุด หรือทะเลที่ไหนที่คยองซูจะชอบ
ทั้งๆที่คยองซูเองก็ไม่ได้มาเรียกร้องให้ผมทำ



คนที่ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน ทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้ขอร้องสักนิด


คยองซูอา.. สิ่งที่นายกำลังสัมผัสอยู่นี่คือหัวใจของฉัน มันเป็นสิ่งที่จะยืนยัน..ว่าฉันรักนาย




__________________________________(2)________________________________



เช้าของวันที่สี่ ผมตื่นขึ้นมา และพบว่าตัวเองนอนฟุบอยู่ที่หน้าตู้ทะเลจำลองในพิพิธภัณฑ์ ผมไม่รู้ว่าผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ตัวเองฝันไป หรืออะไรกันแน่

แต่ที่ผมรู้คือ คนที่ผมหลงรักอย่างคยองซู ได้หายไปจากชีวิตของผมนับตั้งแต่ตอนนั้น..
ยังไม่แม้แต่ที่ผมจะบอกชื่อ หรืออายุ ใดๆทั้งสิ้น ยังไม่ทันจะได้พูดให้เต็มปากเสียด้วยซ้ำ


ว่า บยอนแบคฮยอนรักคยองซูมากแค่ไหน


ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนทอดทิ้ง
แต่กลับรู้สึกเหมือนความรักของผมเพิ่งเริ่มต้น..ใช่ครับ มันกำลังเริ่มต้น
และมันก็ไม่ได้เริ่มต้นแค่กับผมคนเดียวแน่ๆ คยองซูจะต้องอยู่ที่ไหนซักแห่ง.. บนโลกใบนี้ ผมสัมผัสได้

คนอื่นอาจคิดว่าเป็นการคิดแบบปลอบใจตัวเอง แต่สำหรับผมมันไม่ใช่
ผมคิดว่าผมไม่มีอะไรที่ต้องปลอบใจตัวเอง เพราะผมไม่มีอะไรต้องเสียใจ
ไม่มีอะไรจะเสียดายกับการได้รักใครสักคนเลย

เมื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงดาวนับล้านจะล่องลอยเคว้งคว้างอยู่ตรงหน้า
และเราไม่มีทางรู้หรอกว่าดวงดาวที่เราเห็นนั้นมโหฬารมากแค่ไหน
ในเมื่อสุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่ระยิบระยับอยู่เบื้องหน้าเรา  
ความรักของพวกเราก็เช่นกัน คุณไม่ต้องรู้หรอกว่าพวกเรารักกันมากแค่ไหน หรือผมรักคยองซูมากแค่ไหน
ในเมื่อสุดท้ายแล้วผมก็ยังรักเขาอยู่ดี
แตกต่างกันตรงที่ดวงดาวมีวันที่จะมอดดับลงไปจากฝากฟ้าทั้งยามรุ่งและยามค่ำ
แต่ความรักของผมไม่เคยมอดดับลงไปซักครั้ง


อย่างที่เคยบอกว่าผมไม่ได้หลงรักธรรมชาติขนาดนั้น..
แต่ผมชอบที่ธรรมชาติทำให้คนที่ผมรักมีความสุข
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแท้จริงคำว่า ธรรมชาติ มันคืออะไร คือเวทมนต์งั้นเหรอ
หรือแค่เป็นกฎเกณฑ์ที่ทุกสรรพสิ่งต้องน้อมรับและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ทั้งการแลกเปลี่ยนสสาร  การขยายพันธุ์ การปรับตัวตามสภาพแวดล้อม
จนในที่สุดก็เกิดเป็นวิวัฒนาการ ที่พัฒนามาไม่หยุดหย่อน ทุกวัน ทุกคืน..
..ผ่านไปร้อยปีหรืออาจเป็นหมื่นล้านปี

โลกของผมยังคงเต็มไปด้วยปริศนาอีกมากมาย
ไม่มีสิ่งไหนที่ให้โทษทั้งหมด ถึงกระนั้นก็ไม่มีสิ่งไหนที่จะไม่สร้างโทษเลย
แล้วอะไรกันล่ะ คือความจริงที่สุด?
หรือแท้จริงแล้วสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดคือการจมอยู่กับความไม่จริงกันแน่..



เมื่อสองวันก่อน เจ้าหน้าที่ทางพิพิธภัณฑ์โทรศัพท์มาหาพ่อว่า แมงกะพรุนนอมูร่าของทะเลจำลองหายไป



ทะเลจำลอง..? มีนอมูร่าด้วยเหรอครับ?”



เพิ่งย้ายมาได้สองสามวัน หลังจากที่พ่อไปแต่งกวีนิพนธ์ที่นั่น เขาให้พ่อแต่งเกี่ยวกับนอมูร่าตัวนั้น เพื่อเป็นเกียรติให้กับมัน


แมงกะพรุนสีขาวขนาดมหึมา ลอยล่องอย่างไร้ทิศทางในตู้ทะเลจำลองขนาดใหญ่ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้
รอเวลาสองทุ่มสิบห้านาทีเพื่อกลับมาเจอคนรักของเขาในทุกๆคืน

บทกวีบทหนึ่งได้รับการแต่งขึ้นจากกวีนิพนธ์ชื่อดัง พร้อมกับนำไปแกะสลักใส่ในกล่องแก้วขนาดใหญ่ บรรจุอยู่ภายในตู้ทะเลนั้นเอง





ดวงจันทราลอยล่องส่องวารี ธรณีขับขานสุโนกเนา


ดาราส่งเสียงประสานเสา บำเรอเราในห้วงบ่วงแห่งจันทร์





เรื่องมหัศจรรย์ของธรรมชาติในตอนนี้คือ
ทำไมแมงกะพรุนที่ไม่มีแม้กระทั่งเซลล์สมอง กลับจำหน้าคนรักของเขาได้

คำตอบคือ ก็เพราะว่า "ความรักเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ"  ยังไงล่ะ..





The End


No comments:

Post a Comment