เวลากำลังเดินผ่านไปช้าๆ..
ในขณะที่ดวงตาคู่เล็กกำลังถูกตรึงด้วยเวทมนต์วิเศษจากสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆหลากหลายสีสันนับนานาพันธ์นั้น..
เหล่าแมงกะพรุนตัวน้อยค่อยๆเคลื่อนที่ไปในน้ำทะเลจำลองอย่างไร้ทิศทาง
เช่นเดียวกับความคิดของเขาที่ไม่มีใครอาจเข้าใจได้
อาจเป็นเพราะว่าผมจดจ่อกับธรรมชาติมากเกินไป ไม่ว่าจะสายน้ำ สรรพสัตว์ ท้องทะเล ผืนป่าหรือผืนฟ้าอันกว้างใหญ่
เหล่าแมงกะพรุนตัวน้อยค่อยๆเคลื่อนที่ไปในน้ำทะเลจำลองอย่างไร้ทิศทาง
เช่นเดียวกับความคิดของเขาที่ไม่มีใครอาจเข้าใจได้
อาจเป็นเพราะว่าผมจดจ่อกับธรรมชาติมากเกินไป ไม่ว่าจะสายน้ำ สรรพสัตว์ ท้องทะเล ผืนป่าหรือผืนฟ้าอันกว้างใหญ่
ผมคิดเสมอว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสรรค์สร้างมาอย่างสวยงาม
ด้วยกรรมวิธีอันชาญฉลาด
สองสามวันมานี้มีผู้ชายท่าทางแปลกๆเข้ามาในชีวิตของผม
ผมไม่รู้จักชื่อของเขา แต่จำน้ำเสียงได้ และรูปร่างหน้าตาแบบนี้ก็มีคนเดียวในโลกเสียด้วย
เวลาสองทุ่มสิบห้านาที ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ ผู้ชายที่ว่าก็จะปรากฏตัวออกมาทุกครั้ง พร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้ม ดูร่าเริงกับทุกอย่างไปเสียหมด
สองสามวันมานี้มีผู้ชายท่าทางแปลกๆเข้ามาในชีวิตของผม
ผมไม่รู้จักชื่อของเขา แต่จำน้ำเสียงได้ และรูปร่างหน้าตาแบบนี้ก็มีคนเดียวในโลกเสียด้วย
เวลาสองทุ่มสิบห้านาที ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ ผู้ชายที่ว่าก็จะปรากฏตัวออกมาทุกครั้ง พร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้ม ดูร่าเริงกับทุกอย่างไปเสียหมด
วันนี้ก็เช่นกัน..
"คยองซู มารอฉันอีกแล้วเหรอ?"
นี่คือคำทักทายประโยคเดิมๆที่ผมฟังจนรู้สึกเบื่อ
"จะให้ผมบอกกี่ครั้งว่าผมอยู่ที่นี่ประจำอยู่แล้ว อีกอย่าง..ผมก็มาดูแลเจ้าพวกนี้ต่างหากล่ะ"
ผมชี้ไปที่เหล่าแมงกะพรุนตัวน้อยที่ว่ายวนเวียนอย่างช้าๆดูน่ารักพวกนั้น
"ฉันคิดว่ามันดูแลตัวเองได้นะคยองซู อ้อ! ฉันมีที่ที่อยากจะพานายไปมากๆเลยล่ะ"
ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ๆผม หยิบอะไรบางอย่างออกมา เป็นกล่องสีเหลี่ยมขาวๆ ขนาดพอดีมือ ไม่หนามาก แข็ง แล้วก็ดูแปลกตา เหมือนมีไฟฟ้าสถิต
"อะไรน่ะ?"
"หือ..ไอโฟนห้าเอสที่เพิ่งออกใหม่ไง ฉันว่ามันเจ๋งดี เก็บเงินซื้อตั้งนานน่ะรู้มั้ย?"
ผมทอดมองไปที่มันด้วยสายตานิ่งๆ ของสิ้นเปลืองทรัพยากรโลกล่ะสิไม่ว่า..
เขาใช้เวลาไม่นานกับการสัมผัสที่หน้าจอของมัน และในที่สุดมันก็ถูกส่งมาให้ผมถือ ข้างในปรากฏจอภาพคมชัด
"คยองซู มารอฉันอีกแล้วเหรอ?"
นี่คือคำทักทายประโยคเดิมๆที่ผมฟังจนรู้สึกเบื่อ
"จะให้ผมบอกกี่ครั้งว่าผมอยู่ที่นี่ประจำอยู่แล้ว อีกอย่าง..ผมก็มาดูแลเจ้าพวกนี้ต่างหากล่ะ"
ผมชี้ไปที่เหล่าแมงกะพรุนตัวน้อยที่ว่ายวนเวียนอย่างช้าๆดูน่ารักพวกนั้น
"ฉันคิดว่ามันดูแลตัวเองได้นะคยองซู อ้อ! ฉันมีที่ที่อยากจะพานายไปมากๆเลยล่ะ"
ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ๆผม หยิบอะไรบางอย่างออกมา เป็นกล่องสีเหลี่ยมขาวๆ ขนาดพอดีมือ ไม่หนามาก แข็ง แล้วก็ดูแปลกตา เหมือนมีไฟฟ้าสถิต
"อะไรน่ะ?"
"หือ..ไอโฟนห้าเอสที่เพิ่งออกใหม่ไง ฉันว่ามันเจ๋งดี เก็บเงินซื้อตั้งนานน่ะรู้มั้ย?"
ผมทอดมองไปที่มันด้วยสายตานิ่งๆ ของสิ้นเปลืองทรัพยากรโลกล่ะสิไม่ว่า..
เขาใช้เวลาไม่นานกับการสัมผัสที่หน้าจอของมัน และในที่สุดมันก็ถูกส่งมาให้ผมถือ ข้างในปรากฏจอภาพคมชัด
..เป็นภาพของชายหาดสีมรกตสดใสที่เต็มไปด้วยผืนทรายขาวดั่งแป้งฝุ่น
"โอ้โห.. มีที่แบบนี้อยู่ในโลกด้วยเหรอ??"
"นายอยากไปไหมละ อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่มาก ฉันอยากพานายไป"
อันที่จริงผมก็อยากไปอยู่ แต่ตั้งแต่เกิดมาผมก็ไม่เคยออกไปจากที่นี่เลยซักครั้ง พิพิธภัณฑ์นี้เหมือนเป็นบ้านหลังที่สองของผม ไม่สิ.. เหมือนเป็นอีกหนึ่งชีวิตเลยต่างหาก
อีกอย่าง.. ผมไม่ถูกกับแสงแดดสุดๆ
"ทำหน้าแบบนี้ จะไม่ไปสินะ ฉันรู้เหตุผลหรอกน่า นายก็เพียรบอกฉันทุกครั้งอยู่แล้วนี่ แต่ฉันสัญญาว่าจะพานายกลับ แล้วทริปนี่ก็เป็นตอนกลางคืนด้วย รับรองว่าจะไม่ระคายผิวแน่นอนครับผม!"
ผมยอมรับว่าตัวเองเริ่มไขว้เขวเล็กน้อย.. พลันสายตาของผมเหลือบไปเห็นเจ้าเด็กน้อยทั้งหลายที่กำลังว่ายวนในน้ำ รวมกันเป็นกระจุกอยู่ที่ริมกระจกเสมือนกำลังแอบฟัง บางทีพวกเขาอาจจะอนุญาตให้ผมไปแล้วก็ได้มั้ง..
“ว่าไงคยองซู ฉันอยากให้นายไปจริงๆนะ”
"สัญญาด้วยนะว่าต้องพาฉันกลับมา.. "
“สัญญา!”
"โอ้โห.. มีที่แบบนี้อยู่ในโลกด้วยเหรอ??"
"นายอยากไปไหมละ อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่มาก ฉันอยากพานายไป"
อันที่จริงผมก็อยากไปอยู่ แต่ตั้งแต่เกิดมาผมก็ไม่เคยออกไปจากที่นี่เลยซักครั้ง พิพิธภัณฑ์นี้เหมือนเป็นบ้านหลังที่สองของผม ไม่สิ.. เหมือนเป็นอีกหนึ่งชีวิตเลยต่างหาก
อีกอย่าง.. ผมไม่ถูกกับแสงแดดสุดๆ
"ทำหน้าแบบนี้ จะไม่ไปสินะ ฉันรู้เหตุผลหรอกน่า นายก็เพียรบอกฉันทุกครั้งอยู่แล้วนี่ แต่ฉันสัญญาว่าจะพานายกลับ แล้วทริปนี่ก็เป็นตอนกลางคืนด้วย รับรองว่าจะไม่ระคายผิวแน่นอนครับผม!"
ผมยอมรับว่าตัวเองเริ่มไขว้เขวเล็กน้อย.. พลันสายตาของผมเหลือบไปเห็นเจ้าเด็กน้อยทั้งหลายที่กำลังว่ายวนในน้ำ รวมกันเป็นกระจุกอยู่ที่ริมกระจกเสมือนกำลังแอบฟัง บางทีพวกเขาอาจจะอนุญาตให้ผมไปแล้วก็ได้มั้ง..
“ว่าไงคยองซู ฉันอยากให้นายไปจริงๆนะ”
"สัญญาด้วยนะว่าต้องพาฉันกลับมา.. "
“สัญญา!”
“งั้น.. ไปก็ได้มั้ง..”
__________________________________(1)________________________________
ยิ่งนึกถึงเหล่าแมงกะพรุนทั้งหลายที่คยองซูเฝ้าดูแลอยู่ทุกคืนนั้นเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ผมนึกถึงเจ้าคนตัวเล็กที่หลับใหลอยู่เบาะรถข้างๆไม่หาย
แมงกะพรุนถึงแม้จะมีรูปร่างเหมือนกันแต่ก็มีหลากหลายสีสัน
ถึงแม้จะดูลองล่อยไปในกระแสน้ำอย่างไร้ทิศทางแต่ก็มิอาจคาดเดา
ร่างกายโปร่งใสจนเห็นเนื้อใน หากแต่บอบบางควรค่าแก่การทะนุถนอม
และน่าค้นหา..กว่าสรรพสัตว์ใดใดทั้งมวล
โดคยองซูเองก็น่าค้นหากว่าใครทุกคนบนโลกใบนี้เช่นกัน..
"ตื่นได้แล้วคยองซู เรามาถึงกันแล้ว"
แรงลมกระโชกพัด เสียงคลื่นทะเลที่ซัดกระทบกับก้อนหินริมชายฝั่งราวกับกำลังปลอบโยนให้คนตัวเล็กค่อยๆลืมตาตื่นอย่างช้าๆ
"ถึง.. แล้วเหรอ?"
ดวงตากลมโตกระพริบตาถี่ๆมองไปรอบๆ มันค่อนข้างมืดจนมองไม่เห็นอะไรด้วยซ้ำ แต่อีกคนก็ดูจะตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อม ..อย่างกับว่าเขามองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจนอย่างนั้นล่ะ
ผมจูงมือคยองซูเดินเลียบไปตามชายหาดช้าๆ สายลมพัดเข้ากระทบที่ใบหน้าของเราทั้งคู่
ผมไม่ได้รักธรรมชาติขนาดคยองซู
แต่ผมก็มีความสุข.. ที่รู้ว่าธรรมชาติทั้งหมดนี้ทำให้คยองซูยิ้มได้
"อยากลงเล่นน้ำมั้ย?"
ผมถามเขา ขณะที่ยังมองเห็นว่าดวงตาของเขาดูตื่นตาตื่นใจมากแค่ไหน แม้ว่าริมฝีปากสวยนั้นจะไม่ได้คลี่ยิ้มออกมา ไม่เคยเลยสักครั้งตั้งแต่ที่ผมรู้จักกับเขา แต่ถึงกระนั้นความรู้สึกอะไรบางอย่างก็ทำให้ผมสัมผัสมันได้
"ลงเล่นได้ด้วยเหรอ?"
เขาหันมาถาม
"ได้สิ ตามสบายเลย เดี๋ยวฉันรออยู่นี่นะ ฉันไม่ค่อยชอบเล่นตอนกลางคืนน่ะ"
คยองซูพยักหน้าให้ผม ก่อนจะละจากมือของผมไป
"อยากลงเล่นน้ำมั้ย?"
ผมถามเขา ขณะที่ยังมองเห็นว่าดวงตาของเขาดูตื่นตาตื่นใจมากแค่ไหน แม้ว่าริมฝีปากสวยนั้นจะไม่ได้คลี่ยิ้มออกมา ไม่เคยเลยสักครั้งตั้งแต่ที่ผมรู้จักกับเขา แต่ถึงกระนั้นความรู้สึกอะไรบางอย่างก็ทำให้ผมสัมผัสมันได้
"ลงเล่นได้ด้วยเหรอ?"
เขาหันมาถาม
"ได้สิ ตามสบายเลย เดี๋ยวฉันรออยู่นี่นะ ฉันไม่ค่อยชอบเล่นตอนกลางคืนน่ะ"
คยองซูพยักหน้าให้ผม ก่อนจะละจากมือของผมไป
และมุ่งหน้าลงสู่ท้องทะเลอย่างกับกำลังจะกลับบ้านยังไงยังงั้น..
ไม่รู้สินะ..
ผมเห็นคยองซูครั้งแรกเมื่อสองวันที่แล้ว ในพิพิธภัณฑ์ที่พ่อผมถูกเรียกไปเป็นเกียรติในการแต่งกวีให้กับอะไรบางอย่าง ใช่ครับ พ่อของผมเป็นนักกวีนิพนธ์ชื่อดัง ส่วนผมเป็นช่างภาพอิสระ บ่อยครั้งที่พวกเราสามารถใช้สถานที่ทำงานร่วมกันได้ อย่างน้อยเราพ่อลูกก็ได้เชื่อด้านสุนทรียะกันมาทั้งคู่
ครั้งแรกที่เห็นคือคยองซูนั่งอยู่ที่หน้ากระจกตู้ทะเลจำลองขนาดใหญ่ หันหน้าเข้าหาตู้นั้น และมองแน่นิ่งเข้าไปข้างในเหมือนกับกำลังใช้ความคิด ผู้คนเดินผ่านไปมาราวกับไม่เห็นเขา แต่สำหรับผม มันดูน่าสนใจ และงดงามมาก
ผมไม่รู้ว่าช่วงกลางวันเขาไปอยู่ที่ไหน หรือเขามีบ้านอยู่ที่ไหนหรือเปล่า ผมรู้แค่ว่าพอตกกลางคืน เขาจะมานั่งเล่นที่หน้าตู้ทะเลจำลอง บางทีก็อ่านหนังสือ บางทีก็กวาดนู่นกวาดนี่ไปตามประสา ชุดที่คยองซูใส่จะเป็นชุดเดิม เสื้อตัวเดิม กางเกงตัวเดิม ราวกับว่าเขาไม่เคยอาบน้ำ แต่เนื้อตัวกลับสะอาดสะอ้าน และส่งกลิ่นไอหอมจางๆมาตลอด
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ผมหลงรักเขาเข้าอย่างจัง และดูเหมือนมันจะก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
กลับมาที่ปัจจุบันต่อ มีความรู้สึกว่าคยองซูหายเข้าไปเรื่อยๆตามความมืดมิดของท้องฟ้า ผมเริ่มกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรรึเปล่า บางทีอาจจะสะดุดล้มแนวดินแถวนั้น หรือถูกคลื่นซัดให้อยู่ไกลฝั่งมากขึ้น
"คยองซู.. นายอยู่แถวนี้รึเปล่า?"
ผมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆกับชายหาดเท่าที่จะทำได้ เท้าเปล่าเริ่มเหยียบโดนน้ำเล็กน้อย แต่ก็ไร้เสียงตอบกลับมา
"คยองซู เฮ้ คยองซูอา.."
"ฉันยังอยู่ดี"
น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้ผมชะงักเท้าอยู่ที่เดิม
"นายไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม?"
"เปล่า ฉันสบายดี กำลังมีความสุขมากๆเลยล่ะ"
"ก็ดีแล้วล่ะ แต่ฉันว่านายขึ้นมาเล่นใกล้ๆหน่อยดีไหม ตรงนั้นมันมืดเกินที่ฉันจะมองนายเห็นน่ะ"
"เหรอ? แต่ฉันมองเห็นนายได้อย่างชัดเจนเลยนะ"
คยองซูพูดจาแปลกๆอีกแล้ว บางทีผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับทัศนคติของคนรักธรรมชาติเท่าไหร่
“ช่างเถอะ ถ้ามีอะไรก็ตะโกนบอกฉันนะ”
"ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เดี๋ยวมันก็สว่างแล้ว อีกซักพัก.. แสงจันทร์จะส่องประกายงดงาม"
คยองซูพูดจบลงแค่นั้น ก่อนจะเงียบไป ผมถอนกายใจอีกครั้งกับคำพูดแปลกๆที่ได้ยินจนเริ่มชิน ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่เดิมที่ตัวเองนั่งรออยู่
ผมเห็นคยองซูครั้งแรกเมื่อสองวันที่แล้ว ในพิพิธภัณฑ์ที่พ่อผมถูกเรียกไปเป็นเกียรติในการแต่งกวีให้กับอะไรบางอย่าง ใช่ครับ พ่อของผมเป็นนักกวีนิพนธ์ชื่อดัง ส่วนผมเป็นช่างภาพอิสระ บ่อยครั้งที่พวกเราสามารถใช้สถานที่ทำงานร่วมกันได้ อย่างน้อยเราพ่อลูกก็ได้เชื่อด้านสุนทรียะกันมาทั้งคู่
ครั้งแรกที่เห็นคือคยองซูนั่งอยู่ที่หน้ากระจกตู้ทะเลจำลองขนาดใหญ่ หันหน้าเข้าหาตู้นั้น และมองแน่นิ่งเข้าไปข้างในเหมือนกับกำลังใช้ความคิด ผู้คนเดินผ่านไปมาราวกับไม่เห็นเขา แต่สำหรับผม มันดูน่าสนใจ และงดงามมาก
ผมไม่รู้ว่าช่วงกลางวันเขาไปอยู่ที่ไหน หรือเขามีบ้านอยู่ที่ไหนหรือเปล่า ผมรู้แค่ว่าพอตกกลางคืน เขาจะมานั่งเล่นที่หน้าตู้ทะเลจำลอง บางทีก็อ่านหนังสือ บางทีก็กวาดนู่นกวาดนี่ไปตามประสา ชุดที่คยองซูใส่จะเป็นชุดเดิม เสื้อตัวเดิม กางเกงตัวเดิม ราวกับว่าเขาไม่เคยอาบน้ำ แต่เนื้อตัวกลับสะอาดสะอ้าน และส่งกลิ่นไอหอมจางๆมาตลอด
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ผมหลงรักเขาเข้าอย่างจัง และดูเหมือนมันจะก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
กลับมาที่ปัจจุบันต่อ มีความรู้สึกว่าคยองซูหายเข้าไปเรื่อยๆตามความมืดมิดของท้องฟ้า ผมเริ่มกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรรึเปล่า บางทีอาจจะสะดุดล้มแนวดินแถวนั้น หรือถูกคลื่นซัดให้อยู่ไกลฝั่งมากขึ้น
"คยองซู.. นายอยู่แถวนี้รึเปล่า?"
ผมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆกับชายหาดเท่าที่จะทำได้ เท้าเปล่าเริ่มเหยียบโดนน้ำเล็กน้อย แต่ก็ไร้เสียงตอบกลับมา
"คยองซู เฮ้ คยองซูอา.."
"ฉันยังอยู่ดี"
น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้ผมชะงักเท้าอยู่ที่เดิม
"นายไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม?"
"เปล่า ฉันสบายดี กำลังมีความสุขมากๆเลยล่ะ"
"ก็ดีแล้วล่ะ แต่ฉันว่านายขึ้นมาเล่นใกล้ๆหน่อยดีไหม ตรงนั้นมันมืดเกินที่ฉันจะมองนายเห็นน่ะ"
"เหรอ? แต่ฉันมองเห็นนายได้อย่างชัดเจนเลยนะ"
คยองซูพูดจาแปลกๆอีกแล้ว บางทีผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับทัศนคติของคนรักธรรมชาติเท่าไหร่
“ช่างเถอะ ถ้ามีอะไรก็ตะโกนบอกฉันนะ”
"ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เดี๋ยวมันก็สว่างแล้ว อีกซักพัก.. แสงจันทร์จะส่องประกายงดงาม"
คยองซูพูดจบลงแค่นั้น ก่อนจะเงียบไป ผมถอนกายใจอีกครั้งกับคำพูดแปลกๆที่ได้ยินจนเริ่มชิน ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่เดิมที่ตัวเองนั่งรออยู่
ผมแค่หันหลัง.. แต่ยังไม่ได้ก้าวเดิน
เพราะจู่ๆผมก็มองเห็นผืนทราย มองเห็นสิ่งรอบข้าง มองเห็นแม้กระทั่งเงาของตัวผมเองที่เกิดจากการหักเหแสง กระทั่งแสงสว่างนั่นเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆอยู่ที่ด้านหลังของผม..
"ก..เกิด..อะไรขึ้นน่ะ.."
ผมแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเองด้วยซ้ำ เมฆก้อนใหญ่ที่เคยบดบังแสงสว่างของพระจันทร์ค่อยๆเคลื่อนตัวออกช้าๆ แสงจันทร์ส่องสะท้อนสิ่งมีชีวิตเล็กๆในท้องทะเล ให้สว่างไสวดั่งกล่องแสงระยิบระยับมากมาย
ท้องทะเลอันกว้างใหญ่บัดนี้ท่อประกายสีสวยงดงาม เหนือธรรมชาติ
อย่างกับมีใครเอาสปอตไลท์อันใหญ่ส่องลงมาจากใต้บาดาล
แล้วสะท้อนขึ้นมายังผิวน้ำ
ถ้าหากว่าตาของผมไม่พร่ามัวจนเกินไป ถ้าหากว่าสติของผมยังดีอยู่
และถ้าหากว่าเดาไม่ผิด ผมคิดว่าเจ้าตัวสว่างไสวที่ว่านั่นมันจะเป็น
ถ้าหากว่าตาของผมไม่พร่ามัวจนเกินไป ถ้าหากว่าสติของผมยังดีอยู่
และถ้าหากว่าเดาไม่ผิด ผมคิดว่าเจ้าตัวสว่างไสวที่ว่านั่นมันจะเป็น
..แมงกะพรุน
แล้วคยองซูล่ะ? เขาอยู่ในนั้นไม่ใช่เหรอ?!
“คยองซู ขึ้นฝั่งมาเร็ว แมงกะพรุนเต็มไปหมดแล้ว นายจะโดนพิษมันเข้านะ!”
ผมวิ่งเข้าไปในทะเลทันทีเมื่อนึกได้ เท้าเปล่าสัมผัสเข้ากับหนวดและแขนงที่ยื่นมารอบปากของเจ้าสิ่งมีชีวิตพวกนี้ รู้สึกคันไปทั่วขา แต่เชื่อไหมครับ.. ว่าจู่ๆพวกมันก็หลีกทางให้กับผม
พวกมันที่แห่ขบวนกันมาอย่างมากมาย ค่อยๆเคลื่อนตัวถอยออก แล้วแหวกทางเป็นแนวให้ผมเดินไปหาคยองซู
ผมขนลุกไปหมดทั้งตัว.. แสงจากดวงจันทร์ส่องกระทบเข้าที่ผิวขาวของคยองซูจนมันดูใส ใสเสียจนโปร่งบางแทบจะทะลุมองเห็นไปยังอีกฝากของทะเล หัวใจของผมเต้นสั่นระริก ทั้งกลัวและตกใจ หากแต่สมองกลับสั่งการให้ผมเดินไปหาเขา ไม่รู้ว่าสมองหรือหัวใจของผมกันแน่
ผมเห็นคยองซูยิ้มเป็นครั้งแรก มันเหมือนกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้ามาในโสตประสาทสมอง
หัวใจของผมเต้นแรงกว่าเดิม
ไม่ใช่เพราะความกลัว
แต่เป็นเพราะความรัก
ดั่งกับโดนมนต์สะกด
ให้หลงใหลในใบหน้านั้น ดวงตาคู่นั้น และรอยยิ้มนั้น
“นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหม?”
ผมถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ คนตัวเล็กพยักหน้าให้กับผม
“นายรู้ไหม ตลอดว่าแม่ของฉันเคยบอกว่าฉันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีสมอง ไม่มีกระดูกสันหลัง ไม่มีระบบหายใจ ระบบหมุนเวียนเลือด หรือแม้กระทั่งหัวใจ ฉันไม่เคยรู้ว่าการรักใครซักคนมันเป็นยังไง มนุษย์ต่างพูดกันว่าพวกเขาจะรู้สึกหัวใจเต้นแรงเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่เขารัก แต่ฉันไม่ ฉันไม่มีหัวใจ และฉันก็ไม่รู้ว่าที่ฉันรู้สึกอยู่มันเรียกว่ารักหรือเปล่า ฉันมีแค่มัดเส้นประสาทอันนิดเดียวที่จะมายืนยันความรู้สึกตอนนี้ได้ มันอาจดูเร็วเกินไป แต่..”
"ไม่ คยองซู.. ฉันเข้าใจ"
“นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหม?”
ผมถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ คนตัวเล็กพยักหน้าให้กับผม
“นายรู้ไหม ตลอดว่าแม่ของฉันเคยบอกว่าฉันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีสมอง ไม่มีกระดูกสันหลัง ไม่มีระบบหายใจ ระบบหมุนเวียนเลือด หรือแม้กระทั่งหัวใจ ฉันไม่เคยรู้ว่าการรักใครซักคนมันเป็นยังไง มนุษย์ต่างพูดกันว่าพวกเขาจะรู้สึกหัวใจเต้นแรงเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่เขารัก แต่ฉันไม่ ฉันไม่มีหัวใจ และฉันก็ไม่รู้ว่าที่ฉันรู้สึกอยู่มันเรียกว่ารักหรือเปล่า ฉันมีแค่มัดเส้นประสาทอันนิดเดียวที่จะมายืนยันความรู้สึกตอนนี้ได้ มันอาจดูเร็วเกินไป แต่..”
"ไม่ คยองซู.. ฉันเข้าใจ"
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ
ผมเอื้อมมือไปจับมือของคยองซูเอาไว้ แล้วยกขึ้นทาบอกข้างซ้ายของผม
“นายรู้สึกถึงมันใช่ไหม..”
เวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ผมเชื่อแล้วว่าความรักมักก่อตัวอย่างรวดเร็วเสมอ
ช่วงเวลาแค่สามวันมันช่างคุ้มค่าเหลือเกิน รู้สึกมีความสุขทุกวินาทีที่ได้อยู่ใกล้ๆ
ผมไม่รู้ว่าที่อยู่ตรงหน้าของผมตอนนี้คืออะไร คือความฝัน คือจิตนาการ หรือความจริงกันแน่
แต่ที่พอจะสรุปได้ตอนนี้คือ หัวใจของผมถูกคยองซูชิงไปเสียแล้ว..
‘ว่าสำหรับฉันนั้นเธอคือทุกสิ่ง เป็นแรงบันดาลใจเป็นทุกๆ อย่าง
เธอเชื่อมให้ฉันเห็นภาพที่สวยงามของชีวิต …แม้ว่าเรายังไม่ทันได้รู้จักกันเลย’
“นายรู้สึกถึงมันใช่ไหม..”
เวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ผมเชื่อแล้วว่าความรักมักก่อตัวอย่างรวดเร็วเสมอ
ช่วงเวลาแค่สามวันมันช่างคุ้มค่าเหลือเกิน รู้สึกมีความสุขทุกวินาทีที่ได้อยู่ใกล้ๆ
ผมไม่รู้ว่าที่อยู่ตรงหน้าของผมตอนนี้คืออะไร คือความฝัน คือจิตนาการ หรือความจริงกันแน่
แต่ที่พอจะสรุปได้ตอนนี้คือ หัวใจของผมถูกคยองซูชิงไปเสียแล้ว..
‘ว่าสำหรับฉันนั้นเธอคือทุกสิ่ง เป็นแรงบันดาลใจเป็นทุกๆ อย่าง
เธอเชื่อมให้ฉันเห็นภาพที่สวยงามของชีวิต …แม้ว่าเรายังไม่ทันได้รู้จักกันเลย’
คุณเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกไหม?
ที่คุณได้พบใครสักคนหนึ่งในช่วงเวลาสั้นๆ
แล้วคุณก็หลงรักคนๆนั้นแม้ว่าจะไม่ได้รู้จักเขาด้วยซ้ำ
คนที่คุณรู้สึกว่าคุณตายแทนเขาได้ ทั้งๆที่ชีวิตคุณก็มีแค่ชีวิตเดียว
คนที่คุณรู้สึกว่าคุณอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้คุณก็มีชีวิตอยู่ได้มาก่อน
..สำหรับผม ผมคิดว่ามันแปลก..
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั้งมวลบนโลกใบกว้างนี้มันช่างมากมายเหลือเกิน
แต่มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ที่ผมรู้สึกแบบนี้ด้วย
ผมไม่เคยพอใครมาเที่ยวทะเล ผมไม่เคยจูงมือใครเดินบนชายหาด
ไม่เคยแอบหนีเข้ามาพิพิธภัณฑ์ที่ปิดตั้งแต่หนึ่งทุ่มทุกคืนเพียงเพื่ออยากเจอคยองซู
ไม่เคยต้องมานั่งกังวลว่าทะเลที่ไหนสวย ทะเลที่ไหนบรรยากาศดีที่สุด หรือทะเลที่ไหนที่คยองซูจะชอบ
ทั้งๆที่คยองซูเองก็ไม่ได้มาเรียกร้องให้ผมทำ
คนที่ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
ทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้ขอร้องสักนิด
“คยองซูอา.. สิ่งที่นายกำลังสัมผัสอยู่นี่คือหัวใจของฉัน มันเป็นสิ่งที่จะยืนยัน..ว่าฉันรักนาย”
__________________________________(2)________________________________
เช้าของวันที่สี่ ผมตื่นขึ้นมา และพบว่าตัวเองนอนฟุบอยู่ที่หน้าตู้ทะเลจำลองในพิพิธภัณฑ์ ผมไม่รู้ว่าผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ตัวเองฝันไป หรืออะไรกันแน่
แต่ที่ผมรู้คือ คนที่ผมหลงรักอย่างคยองซู ได้หายไปจากชีวิตของผมนับตั้งแต่ตอนนั้น..
“คยองซูอา.. สิ่งที่นายกำลังสัมผัสอยู่นี่คือหัวใจของฉัน มันเป็นสิ่งที่จะยืนยัน..ว่าฉันรักนาย”
__________________________________(2)________________________________
เช้าของวันที่สี่ ผมตื่นขึ้นมา และพบว่าตัวเองนอนฟุบอยู่ที่หน้าตู้ทะเลจำลองในพิพิธภัณฑ์ ผมไม่รู้ว่าผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ตัวเองฝันไป หรืออะไรกันแน่
แต่ที่ผมรู้คือ คนที่ผมหลงรักอย่างคยองซู ได้หายไปจากชีวิตของผมนับตั้งแต่ตอนนั้น..
ยังไม่แม้แต่ที่ผมจะบอกชื่อ
หรืออายุ ใดๆทั้งสิ้น ยังไม่ทันจะได้พูดให้เต็มปากเสียด้วยซ้ำ
ว่า บยอนแบคฮยอนรักคยองซูมากแค่ไหน
ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนทอดทิ้ง
แต่กลับรู้สึกเหมือนความรักของผมเพิ่งเริ่มต้น..ใช่ครับ
มันกำลังเริ่มต้น
และมันก็ไม่ได้เริ่มต้นแค่กับผมคนเดียวแน่ๆ
คยองซูจะต้องอยู่ที่ไหนซักแห่ง.. บนโลกใบนี้ ผมสัมผัสได้
คนอื่นอาจคิดว่าเป็นการคิดแบบปลอบใจตัวเอง แต่สำหรับผมมันไม่ใช่
ผมคิดว่าผมไม่มีอะไรที่ต้องปลอบใจตัวเอง
เพราะผมไม่มีอะไรต้องเสียใจ
ไม่มีอะไรจะเสียดายกับการได้รักใครสักคนเลย
เมื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงดาวนับล้านจะล่องลอยเคว้งคว้างอยู่ตรงหน้า
เมื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงดาวนับล้านจะล่องลอยเคว้งคว้างอยู่ตรงหน้า
และเราไม่มีทางรู้หรอกว่าดวงดาวที่เราเห็นนั้นมโหฬารมากแค่ไหน
ในเมื่อสุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงจุดเล็กๆ
ที่ระยิบระยับอยู่เบื้องหน้าเรา
ความรักของพวกเราก็เช่นกัน
คุณไม่ต้องรู้หรอกว่าพวกเรารักกันมากแค่ไหน หรือผมรักคยองซูมากแค่ไหน
ในเมื่อสุดท้ายแล้วผมก็ยังรักเขาอยู่ดี
แตกต่างกันตรงที่ดวงดาวมีวันที่จะมอดดับลงไปจากฝากฟ้าทั้งยามรุ่งและยามค่ำ
แต่ความรักของผมไม่เคยมอดดับลงไปซักครั้ง
อย่างที่เคยบอกว่าผมไม่ได้หลงรักธรรมชาติขนาดนั้น..
แต่ผมชอบที่ธรรมชาติทำให้คนที่ผมรักมีความสุข
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแท้จริงคำว่า
ธรรมชาติ มันคืออะไร คือเวทมนต์งั้นเหรอ
หรือแค่เป็นกฎเกณฑ์ที่ทุกสรรพสิ่งต้องน้อมรับและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ทั้งการแลกเปลี่ยนสสาร การขยายพันธุ์ การปรับตัวตามสภาพแวดล้อม
จนในที่สุดก็เกิดเป็นวิวัฒนาการ
ที่พัฒนามาไม่หยุดหย่อน ทุกวัน ทุกคืน..
..ผ่านไปร้อยปีหรืออาจเป็นหมื่นล้านปี
โลกของผมยังคงเต็มไปด้วยปริศนาอีกมากมาย
ไม่มีสิ่งไหนที่ให้โทษทั้งหมด ถึงกระนั้นก็ไม่มีสิ่งไหนที่จะไม่สร้างโทษเลย
แล้วอะไรกันล่ะ คือความจริงที่สุด?
หรือแท้จริงแล้วสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดคือการจมอยู่กับความไม่จริงกันแน่..
..ผ่านไปร้อยปีหรืออาจเป็นหมื่นล้านปี
โลกของผมยังคงเต็มไปด้วยปริศนาอีกมากมาย
ไม่มีสิ่งไหนที่ให้โทษทั้งหมด ถึงกระนั้นก็ไม่มีสิ่งไหนที่จะไม่สร้างโทษเลย
แล้วอะไรกันล่ะ คือความจริงที่สุด?
หรือแท้จริงแล้วสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดคือการจมอยู่กับความไม่จริงกันแน่..
“เมื่อสองวันก่อน เจ้าหน้าที่ทางพิพิธภัณฑ์โทรศัพท์มาหาพ่อว่า แมงกะพรุนนอมูร่าของทะเลจำลองหายไป”
“ทะเลจำลอง..? มีนอมูร่าด้วยเหรอครับ?”
“เพิ่งย้ายมาได้สองสามวัน หลังจากที่พ่อไปแต่งกวีนิพนธ์ที่นั่น เขาให้พ่อแต่งเกี่ยวกับนอมูร่าตัวนั้น เพื่อเป็นเกียรติให้กับมัน”
แมงกะพรุนสีขาวขนาดมหึมา ลอยล่องอย่างไร้ทิศทางในตู้ทะเลจำลองขนาดใหญ่ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้
รอเวลาสองทุ่มสิบห้านาทีเพื่อกลับมาเจอคนรักของเขาในทุกๆคืน
บทกวีบทหนึ่งได้รับการแต่งขึ้นจากกวีนิพนธ์ชื่อดัง พร้อมกับนำไปแกะสลักใส่ในกล่องแก้วขนาดใหญ่ บรรจุอยู่ภายในตู้ทะเลนั้นเอง
บทกวีบทหนึ่งได้รับการแต่งขึ้นจากกวีนิพนธ์ชื่อดัง พร้อมกับนำไปแกะสลักใส่ในกล่องแก้วขนาดใหญ่ บรรจุอยู่ภายในตู้ทะเลนั้นเอง
‘ดวงจันทราลอยล่องส่องวารี ธรณีขับขานสุโนกเนา
ดาราส่งเสียงประสานเสา บำเรอเราในห้วงบ่วงแห่งจันทร์’
เรื่องมหัศจรรย์ของธรรมชาติในตอนนี้คือ
ทำไมแมงกะพรุนที่ไม่มีแม้กระทั่งเซลล์สมอง
กลับจำหน้าคนรักของเขาได้
คำตอบคือ ก็เพราะว่า "ความรักเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ" ยังไงล่ะ..
คำตอบคือ ก็เพราะว่า "ความรักเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ" ยังไงล่ะ..
The End
No comments:
Post a Comment