Friday, September 19, 2014

Nothing Like You And I

Nothing Like You And I

มันเป็นเช้าวันธรรมดาวันหนึ่ง วันที่ต้องมาโรงเรียนและเริ่มต้นการตื่นนอนด้วยอาการงัวเงียไม่อยากจะลุก ขึ้นจากที่นอน ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ...

คยองซูอาบน้ำแต่งตัวเริ่มเช้าวันใหม่ด้วยการทำอะไรเดิม ๆ ตื่นมากดนาฬิกาปลุกและหลับต่ออีกห้าถึงสิบนาทีก่อนจะต้องลุกลี้ลุกลนรีบลุก จากที่นอน เมื่อได้ยินเสียงคุณแม่แสนสวยเคาะห้องเรียกหา เขาล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ และแต่งตัว กลิ่นสบู่อ่อน ๆ กับโคโลญยี่ห้อประจำหอมฟุ้งกระจายเต็มห้องไปหมด
 
และแล้ว..ก็ถึงเวลาไปโรงเรียน

ผมไปก่อนนะครับแม่คุณแม่ขานรับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไพเราะน่าฟัง แล้วก็เดินเข้าไปกอดพร้อมหอมแก้มอีกฟอดใหญ่ ชื่นใจทั้งคุณแม่และลูกชายตัวเล็กน่ารัก เป็นกิจวัตรอย่างนี้ทุกเช้า

คยองซูไปโรงเรียนด้วยการนั่งรถเมล์สายประจำที่ตนเองอาศัยโดยสารมาตั้งแต่ เรียนชั้นประถม บนรถนั้นเต็มไปด้วยเด็กนักเรียนโรงเรียนเดียวกันกับเขาที่กำลังส่งเสียงพูด คุยกันจอแจทำอย่างกับไม่ได้เจอกันมานานร่วมเดือน แต่คยองซูก็ไม่ได้ใส่ใจ เขายิ้มบาง ๆ ก่อนเสียบหูฟังและก้มลงกดไอพอดพลางคิดว่าจะเลือกฟังเพลงไหนเป็นเพลงต่อไปดี
 
เจอกันอีกแล้วหูฟังข้างหนึ่งถูกใครบางคนดึงออกก่อนเสียงทุ้มที่จงใจจ่อริมฝีปากเข้ากับใบ หูของเขาจะดังขึ้นจนขนลุกเกรียวเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่กำลังรินรดต้นคอ คยองซูผงะหนีก่อนจะเห็นชัดเต็มตาว่าอีกฝ่ายที่เข้ามาทักอย่างไม่ทันตั้งตัว แบบนี้คือใคร

จงอินร่างสูงยักไหล่ยักคิ้วแล้วขยับปลายเท้าเข้ามายืนเคียงข้าง เสียงเสียดสีของเสื้อสูทโรงเรียนแบบเดียวกับเขาดังเข้าสู่โสตประสาทของคยอง ซูก่อนร่างเล็กจะลอบมองหน้าคนที่กำลังหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างพลางใช้แขน อีกข้างโหนราวรถเมล์

มองหน้านี่หมายความว่าไงร่างเล็กรีบหันกลับหลบสายตาวิบวับของอีกฝ่ายที่ส่งมาพร้อมรอยยิ้มแฝงนัยอะไรบางอย่างและหลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้เปิดปากเริ่มต้นบทสนทนาของวันอย่างที่ควรจะเป็น

วิชาประวัติศาสตร์เกาหลี นอกจากจะเป็นวิชาที่น่าเบื่อแล้ว อาจารย์ผู้สอนก็ยังน่าเบื่อไม่ต่างกัน เพื่อน ๆ ในห้องบางคนยกหนังสือตั้งขึ้นคล้ายจะตั้งใจเรียนแต่เบื้องหลังนั้นกลับฟุบ หลับกรนเบา ๆ ไปแล้วเรียบร้อย พวกผู้หญิงในห้องก็เอาแต่นั่งกดโทรศัพท์ ส่วนเด็กเรียนที่นั่งหน้าชั้นก็เท้าคางทำหน้าเบื่อหน่ายในใจคงจะอยากให้ เสียงออดหมดคาบเรียนดังขึ้นไว ๆ

คยองซูนั่งโต๊ะเกือบหลังสุดติดหน้าต่าง เมื่ออาทิตย์ก่อนเขาจับฉลากได้เลขที่นั่งตรงนี้ก็เลยต้องจำใจยอมทนไปอีก เดือนนึงก่อนจะถึงเวลาเปลี่ยนที่นั่งใหม่อีกครั้ง ร่างเล็กไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะเป็นที่ที่ทำให้เสียสมาธิได้อย่างเกินความคาดหมายเลยทีเดียว

กึง!!

โอ๊ย!เสียงวัตถุบางอย่างลอยมากระแทกกับขอบหน้าต่างก่อนจะกระเด้งปะทะกับศีรษะของ คยองซูอย่างแรงจนต้องร้องเสียงดังออกมา เพื่อน ๆ ในห้องต่างก็สะดุ้งกันเป็นแถวไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่กำลังหลับสบายก็ลุกขึ้น งัวเงียมอง ลูกบอลต้นเหตุกระเด้งกระดอนอยู่ภายในห้องก่อนจะค่อย ๆ สงบลงกลิ้งไปชนกับปลายเท้าเพื่อนคนหนึ่ง

ใครน่ะ!อาจารย์ประจำวิชาวางหนังสือลงกับโต๊ะก่อนจะเดินไปที่หน้าต่างและชะโงกลงไป ตะโกนถามเสียงดัง แต่โชคร้ายที่บนสนามด้านล่างนั่นไม่เหลือนักเรียนหน้าไหนซักคนให้ลงโทษ

เป็นอะไรมากหรือเปล่า ไปห้องพยาบาลมั้ย?” ท่านถามด้วยความหวังดี เพราะเสียงผู้เคราะห์ร้ายนั้นดังจนจินตนาการได้เลยว่าคงจะเจ็บน่าดู

แล้วพวกหลังห้องทั้งแถบนั่นหายไปไหนกันหมดยังไม่ทันจะตอบก็เริ่มคำถามใหม่ด้วยน้ำเสียงโหดจนหลายคนสะท้าน แต่ก็นะ...ไม่มีใครตอบได้ซักคน

พอหมดคาบทุกคนก็ลุกจากที่นั่งหลังจากส่งอาจารย์สอนวิชาแสนโหดเดินออกไป จากห้อง เพื่อน ๆ บางคนเข้ามาสอบถามถึงอาการเจ็บ แต่คยองซูก็ทำได้เพียงส่ายหน้าตอบ พูดคุยกันเรื่องสนุก ๆ เพียงไม่กี่เรื่องเสียงโหวกเหวกจากด้านนอกก็ดังเข้าโสตประสาททำให้ต้องหันไป มองประตู

เหี้ย! ดีนะหมดคาบพอดีคำสบถหยาบคายที่ได้ยินนั้นมาจากหนึ่งในกลุ่มหัวโจกของห้อง ชานยอลเดินเข้ามาพร้อมเพื่อนอีกสามคนซึ่งนั่นรวมไปถึงคิมจงอิน ผู้ชายที่คยองซูมักจะมีอัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติเสมอเมื่อได้เห็นหน้า

พวกนาย! โดดเรียนไปไหนมาน่ะ?!” จองซูจอง เด็กผู้หญิงหน้าตาดีหัวหน้าห้องของพวกเขาเท้าเอวถามเสียงดัง

เล่นบอลอยู่ข้างล่างนั่นเป็นเสียงตอบของโอเซฮุน

อ๋ออออออ นี่แน่ะ!

เฮ้ย เธอทำอะไรน่ะยัยจอง!เขาโวยวายเสียงดังเมื่อโดนหญิงสาวใช้แปรงลบกระดาษเคาะไปบนศีรษะ
 
ก็พวกนายน่ะสิ ทำคยองซูเจ็บ ไปขอโทษเลยนะ!คยองซูยิ้มแหย ๆ กำลังจะเอ่ยปากห้ามไม่ให้เพื่อนพูดอะไรมากมาย ทันใดนั้นเองเสียงลากเก้าอี้ก็ดังขึ้นพร้อมกับจงอินที่ลุกออกไปจากห้องด้วย ความไวแสง ทิ้งปริศนาให้กับทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์

นิสัยแย่! ทำแล้วไม่ขอโทษ

แล้วเธอล่ะยัยกิ้งก่า ตบหัวฉันเนี่ยขอโทษยัง?”

ก็พวกนายทำคยองซูเจ็บ ดูสิหัวแตกหรือเปล่าก็ไม่รู้พูดพลางตรวจสอบศีรษะเพื่อนดูว่ามีตรงไหนแตกหักอย่างที่พูดหรือไม่

เว่อร์! อีกอย่าง พวกฉันไม่ได้เตะ คนเตะมันไปนู่นแล้วนั่น ไปตามจิกกลับมาเส่ะ!ปาร์คชานยอลเถียงกลับอย่างไม่ยอม คยองซูละสายตาจากเพื่อน ๆ ที่กำลังถกเถียงกัน เขามองไปนอกห้องยังทิศทางที่จงอินวิ่งออกไป ทันใดนั้นในใจก็รู้สึกเจ็บที่ฝ่ายนั้นดูไม่ใส่ใจจะถามไถ่อาการเขาซักนิด แค่ถามเล่น ๆ ก็ยังดี แต่นี่ไม่มีเลย ร่างเล็กถอนหายใจก่อนจะลุกเดินหายออกไปอีกคน กะว่าจะไปห้องน้ำส่องกระจกตรวจดูเสียหน่อยว่ามันแดงหรือเกิดบวมบ้างหรือ เปล่า

คยองซูทำธุระอยู่ในห้องน้ำอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเดินก้มหน้าก้มตาเช็ดมือออกมาโดยไม่ได้สังเกตเลยว่ามีใครบางคนกำลัง วิ่งมุ่งหน้ามายังตนเอง ระหว่างที่กำลังงุ่นง่านอยู่กับสายนาฬิกาข้อมือเจ้าปัญหาที่ใส่ยากใส่เย็น เสียจนต้องหยุดยืนพลางเพ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับมัน เสียงหอบหายใจพร้อมฝีเท้าของใครบางคนก็มาหยุดขึ้นตรงหน้า

หายไปไหนมา ฉันตามหานายแทบแย่เป็นจงอินที่กำลังยืนก้มตัวยันมือทั้งสองข้างไว้บนหน้าขา คยองซูเอียงคอขมวดคิ้วอย่างสงสัย

มีอะไรหรอ?” เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบ แต่เจ้าของร่างสูงผิวสีคล้ำกว่าตนเองกลับยื่นสิ่งหนึ่งมาให้แทนคำพูด

อื่อ รับไปสิเพราะคยองซูยังยืนงงมองสิ่งนั้นไม่ยอมรับไปเสียที จงอินจึงเดินเข้ามาใกล้และส่งเสียงแกมบังคับให้เขารีบ ๆ รับไป พอร่างเล็กรับมาไว้กับตัวก็ได้เห็นเต็มตาว่าคือยาแก้ฟกช้ำที่เห็นทั่วไปตาม ร้านขายยา

ในวินาทีนั้น หัวใจดวงน้อย ๆ ก็เต้นแรงไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง

นายไปเอามันมาหรอ?”

อืม

ขอบใจนะ

ไม่เป็นไร แล้วก็..ขอโทษทีคยองซูชะงักกับประโยคนั้นของผู้ชายตรงหน้าที่กำลังยืนก้มหน้านิด ๆ พลางลูบท้ายทอยแก้เขิน ก่อนจะค่อย ๆ คลี่ยิ้มบาง ๆ แต่แสนจะสดใสเหลือเกินในสายตาคิมจงอิน

ทั้งคู่กำลังเดินไปโรงอาหาร เพราะเป็นเวลาพักกลางวันพอดีทุกคนเลยไปรวมตัวอยู่ที่นั่นกันหมด หลังจากถกเถียงทะเลาะกันอยู่นานว่าใครจะเป็นคนทายาให้ เพราะคยองซูเองก็ยืนยันว่าอยากจะทำเองแต่จงอินกลับไม่ยอมและหาข้ออ้างสารพัด ซึ่งนั่นทำให้ร่างเล็กต้องยืนนิ่ง ๆ กลั้นลมหายใจในขณะที่อีกฝ่ายกำลังบรรจงป้ายยาแล้วนวดเบา ๆ บนหน้าผากมนของตัวเขาเอง

กินไรดีนะจงอินเอ่ยลอย ๆ เหมือนจะเป็นประโยคที่พูดกับตัวเองซะมากกว่าคยองซูเลยไม่ทันได้คิดอะไร เขายืนนิ่งอยู่หน้าทางเข้าพลางมองไปรอบกายที่ทุกสายตาของเพื่อนพี่น้องร่วม โรงเรียนกำลังมองมาที่ตนเองเป็นจุดเดียว ร่างเล็กขมวดคิ้วพลางสำรวจตัวเองว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่แต่ไม่ว่าคยองซูจะ หันซ้ายหันขวาหันหน้าไปยังประตูกระจกมองดูตัวเอง เขาก็ยังไม่พบว่ามีอะไรที่แปลกไป

นี่ ถามว่ากินอะไรดี?” คยองซูสะดุ้งเมื่ออยู่ดี ๆ จงอินก็ยื่นหน้ามาใกล้เสียจนปลายจมูกฝ่ายนั้นเกือบชนแก้มของเขา ดวงตากลมเบิกกว้างสติสตังไม่เหลืออยู่กับตัว แทบบ้าเมื่อเจอแบบนี้ แต่คยองซูก็เก็บอาการได้ดีเกินกว่าจงอินจะสังเกตเห็น หรืออันที่จริงเขาแค่คิดไปเองว่าไม่มีใครรู้กันแน่

พอจัดแจงซื้ออาหารกลางวันเรียบร้อยคยองซูก็ต้องจำยอมเดินตามคนเอาแต่ใจ ที่ถือถาดข้าวสองถาดเดินนำหน้าพาไปนั่งโต๊ะ ทั้งที่บอกแล้วแท้ ๆ ว่าจะนั่งกับพวกซูจอง แต่ดูเหมือนจงอินจะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและพาไปหยุดนั่งที่โต๊ะกลุ่มเพื่อน ๆ ของฝ่ายนั้น

กลัวคนไม่รู้?” มาถึงเซฮุนก็เปิดปากพูดด้วยพลางยักคิ้วหลิ่วตามีเลศนัยมาทางเขา จงอินไม่ได้ตอบอะไรแต่คยองซูเห็นฝ่ายนั้นใช้ศอกกระแทกเข้ากับศีรษะเซฮุนอ ย่างแรงจนดูเหมือนจงใจ

เหี้ยเซฮุนสบถด่าพลางลูบศีรษะตัวเองป้อย ๆ ในขณะที่ปาร์คชานยอลตบโต๊ะขำแบบไม่เหลือสติให้เอ่ยปากกวนอารมณ์อะไรได้อีก

กินข้าว ๆจัดแจงที่นั่งให้คยองซูเสร็จสรรพก็ยัดช้อนเข้ามือฝ่ายนั้นไม่ทันให้คยองซู ได้คิดอะไรตาม ใบหน้าน่ารักมีแววขัดใจพลางคิดว่า หมอนี่ช่างเผด็จการจริง ๆ

ระหว่างที่กินข้าวกลางวันกันพลางฟังบทสนทนาระหว่างเพื่อนของจงอิน คยองซูก็ได้แต่นั่งไม่เป็นสุขเพราะอึดอัดเหลือเกินกับสายตาหลายคู่ที่จ้อง เขาจนแทบจะทะลุทะลวงอยู่รอมร่อ ริมฝีปากบางเม้มแน่นขยับขบกันพร้อมคิดมากมายในหัวว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็พยายามคิดไปว่ากลุ่มของจงอินเป็นพวกเด็กฮ็อตคงไม่แปลกถ้าจะมีบุคคลแปลก หน้าเช่นเขามานั่งรวมอยู่ด้วยกันแบบนี้

เพราะจงอินช่างสังเกต และพอเป็นคยองซูด้วยแล้วเขาเลยให้ความสนใจมากกว่าปกติ เด็กหนุ่มมองใบหน้าอีกฝ่ายที่ดูกังวลแล้วก็หันไปมองรอบกายก่อนจะเข้าใจได้ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนข้าง ๆ จงอินยักไหล่ เขาชินเสียแล้ว และก็รู้ด้วยว่าทำไมคนพวกนั้นถึงจ้องคยองซูเอาเป็นเอาตายแบบนี้

คนเยอะชิบหาย

ก็เพราะมึงแหล่ะขมวดคิ้วเป็นคำถามสำหรับประโยคนั้นที่ออกมาจากปากของมุนคยูที่นั่งเงียบอยู่ นานเพราะกำลังซัดข้าวกลางวันด้วยความหิวอยู่

เอาใครมาด้วยล่ะแหม แบบนี้ประกาศตัวเลยดีกว่ามั้ยมึง

ไอ้เหี้ย เดี๋ยวไก่ตื่นพูดพลางปาเศษกระดาษทิชชู่ใส่เซฮุน

ไม่ทันว่ะ กูว่าตื่นแล้ว แต่อาจจะยังงง ๆนั่นคือปาร์คชานยอลบุคคลที่พูดเสียงดัง ขี้โวยวายและปากมากที่สุดเกินกว่าใคร

คยองซูกะพริบตาปริบ ๆ ฟังคนพวกนี้หัวเราะกันพลางยิ้มมีเลศนัยให้เขาแล้วก็ได้แต่สงสัย ก็คนไม่เข้าใจ ยิ่งกำลังหวาดระแวงสายตาคนมากมายแล้วยังจะต้องมากังวลกับอะไรนี่อีก มันทำให้เขาหงุดหงิด

ฉันขึ้นห้องก่อนนะ

อ้าว เดี๋ยวสิ รอด้วยคยองซูจงอินลุกลี้ลุกลนเดินตามออกไปท่ามกลางสายตาล้อเลียนและเสียงแซวของเพื่อนใน กลุ่ม ไม่วายหันมาชี้หน้าคาดโทษแต่พวกนั้นก็รู้ดีว่าเพื่อนตนเองทำอะไรไม่ได้เพราะ ต้องรีบตามคนน่ารักที่แอบชอบมานานแรมปีนั่นเสียก่อน

หลังจากวันนั้นคยองซูก็โดนจงอินตามติดถึงขนาดที่ตัวเองนั้นหลงเข้ามาอยู่ ในกลุ่มของร่างสูงนั่นตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างเล็กเริ่มชินกับการตื่นนอนตอนเช้าด้วยเสียงนาฬิกาปลุกที่ไม่ใช่เจ้าตัว คร๊องหนึ่งในตัวการ์ตูนโปโรโระที่ดังรบกวนเขาทุกเช้าเหมือนอย่างปกติ แต่กลับเป็นเสียงทุ้มแสนสดใสที่ดังลอดออกมาจากโทรศัพท์มือถือทุกเช้าในเวลา เจ็ดโมงตรง และพอคยองซูอาบน้ำแต่งตัว ทานอาหารที่คุณแม่สุดสวยใจดีทำให้เป็นประจำเสร็จเขาก็มักจะพบว่าจงอินนั้นมา นั่งรออยู่หน้ารั้วบ้านอีกอย่างเคย
บอกแล้วว่าไม่ต้องมารอไงคยองซูหน้ามุ่ยใส่คนตัวสูงที่ยืนฉีกยิ้มกว้างจนดวงตาหยีตามไปด้วย จงอินไม่ได้ตอบอะไรเพราะรู้สึกว่าไม่มีข้ออ้างอะไรจะมาหว่านล้อมให้อีกฝ่าย เชื่อได้อีกแล้ว ดูก็รู้ว่าคยองซูไม่ได้แสนซื่ออย่างหน้าตาซักเท่าไหร่

พวกเขาขึ้นรถเมล์คันเดิม และก็เหมือนทุกเช้าที่จะเต็มไปด้วยเด็กนักเรียนโรงเรียนเดียวกันกับพวกตน คยองซูก็ยังต้องยืนโหนรถในขณะที่จงอินก็คอยยืนเคียงข้างเสมอ ทั้งคู่ไม่ค่อยได้พูดคุยอะไรกันมากมายนัก ก็เป็นปกติเหมือนก่อนที่เขาสองคนจะไม่สนิทอะไรกันมากขนาดนี้ แต่ทั้งจงอินและคยองซูต่างก็รู้ดีว่าบางอย่างมันแปลกไป

หัวใจของเขาทั้งคู่มันใกล้กันมากกว่าเดิม...

เดี๋ยวนี้ตัวติดกันจัง~” จองซูจองทักทายยามเช้าด้วยน้ำเสียงสดใสที่ฟังยังไงฃก็ดูล้อเลียนแปลก ๆ คยองซูไม่พูดอะไรทำได้แค่เพียงปรายตามองก่อนจะพยักหน้าส่ง ๆ ให้คนที่หันมาพูดเสียงดังใส่ว่าจะไปเตะบอลกับพวกเซฮุน

คล้อยหลังจงอินที่หายออกไปจากห้อง พวกผู้หญิงในห้องก็กรูกันเข้ามาเกาะขอบโต๊ะเรียนของคยองซูพลางส่งสายตาวิ บวับบ่งบอกว่าอยากจะรู้อะไรบางอย่างที่พวกเธอเข้าไม่ถึงซะเหลือเกิน

เป็นแฟนกัน?”

จะบ้าหรอปฏิเสธด้วยน้ำเสียงตกอกตกใจ

แหน่ะ อย่ามาโกหกเลยน่า~” จองซูจองก็ยังเป็นหัวโจกเสมอไม่เปลี่ยนแปลง เธอสวย หุ่นก็ดี นิสัยถึงจะห้าวไปหน่อยแต่ก็ทำให้ผู้ชายหลายคนหลงใหลได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

จริง ๆ นะ

ไม่เชื่อหรอก ดูสิ มาโรงเรียนด้วยกันทุกวัน กลางวันก็พรากนายจากฉันไปนั่งกินข้าวด้วย แถมตกเย็นยังทำเป็นหวงก้างไม่ให้ไปไหนกับพวกเราอีก เนอะหันไปขอความสนับสนุนจากเพื่อน ๆ รอบกายและก็ได้รับเสียงขานรับเห็นด้วยตอบกลับมา

ไม่ได้เป็นอะไรกันจริง ๆ นะ...เป็น...เพื่อนนั่นแหล่ะเขาเกลียดคำนี้จริง ๆ...

มันเป็นอย่างที่ซูจองพูดจริง ๆ จงอินทำตัวติดกับเขาไม่ให้ไปไหนพ้นจากสายตาเลยซักครั้งเฉกเช่นตอนนี้ พอเลิกเรียนฝ่ายนั้นก็รอเขาที่กำลังทำความสะอาดห้องเนื่องจากเป็นเวรประจำ วัน แสงสว่างด้านนอกนั้นค่อย ๆ เลือนไปใกล้จะมืดเต็มทน จงอินนั่งห้อยขาเท้าคางหาววอด ๆ อยู่บนโต๊ะของอาจารย์หน้าห้องท่ามกลางสายตาของคยองซูที่ลอบมองอยู่เป็นระยะ ๆ

ทำไมต้องทำด้วยเนี่ย

ก็เป็นเวรของเรา นายก็หัดทำบ้างสิ ไม่ใช่เอาแต่โดดเรียนพูดพลางเคาะแปรงลบกระดานอยู่ข้างหน้าต่าง

ก็มันน่าเบื่อนี่พูดจบก็กระโดดลงจากโต๊ะแล้วไปยืนริมหน้าต่างอีกบานติด ๆ กัน คยองซูไม่พูดอะไรต่อ ในใจก็เอาแต่ขบคิดไปถึงเรื่องเมื่อเช้าที่ซูจองตั้งข้อสงสัยให้เขาพลอยต้อง มากังวลไปด้วย

วันเวลาผ่านไปพวกเขาสองคนก็สนิทกันมากขึ้นเรื่อย ๆ คยองซูเองก็เริ่มชินเสียแล้วกับสายตาหลาย ๆ คนที่จ้องมองเขา แม้จะผิดแผกไปจากเดิมที่มองเหมือนคนแปลกหน้าเป็นมองอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า ทำไมอยู่ดี ๆ ร่างเล็กถึงได้มาสนิทกับกลุ่มคนพวกนี้ได้ แต่นั่นก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับคยองซูแล้ว เขาคุ้นกับมันเสียจนเรียกได้ว่ากลายเป็นเรื่องปกติไป

จงอินก็ยังทำตัวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ตามรับตามส่ง แถมเสาร์อาทิตย์ก็ยังจะชวนไปเที่ยวไปดูหนังบ่อย ๆ จนตอนนี้ร่างสูงก็กลายมาเป็นสมาชิกใหม่ในบ้านของเขาอีกคนแล้ว แถมยังเป็นลูกรักของคุณแม่ที่เอาแต่พูดชมว่าเด็กดีบ้างล่ะ หล่อบ้างล่ะ คยองซูก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ เพียงเท่านั้น ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันที่ไม่โกรธที่คุณแม่รักคนอื่นมากกว่าตัวเอง

ความรู้สึกที่อยู่ในใจ คยองซูเองก็เก็บเงียบซ่อนไว้ไม่เปิดเผยออกมา แม้ลึก ๆ จะแอบเข้าข้างตัวเองบ้างว่าจงอินก็คงรู้สึกแบบเดียวกันแต่เขาเองก็ยังไม่ อยากจะไว้ใจอะไรเท่าไหร่ ไม่อยากเจ็บ..เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ น่าจะดีกว่าอะไรทั้งหมด

หนึ่งเทอมผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาเริ่มต้นเทอมใหม่ด้วยความสดใสแต่แฝงไปด้วยจิตใจห่อเหี่ยวเนื่องจาก เด็กมัธยมปลายปีสองทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็นช่วงที่ต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือ เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีหน้าที่ต้องเริ่มติวกันตั้งแต่ภาคเรียนนี้ นั่นจึงทำให้กิจกรรมทุกอย่างหยุดชะงักไปเหลือไว้เพียงแต่ความเคร่งเครียดที่ ต้องอ่านหนังสือและเลือกที่เรียนกันทุกคน

มึงแน่ใจนะ?”

เออ!นั่นเป็นบทสนทนาระหว่างเซฮุนกับจงอินที่กำลังนั่งหันหน้าจ้องตากัน ในมือทั้งคู่มีกระดาษแผ่นหนึ่ง ซึ่งเป็นกระดาษที่จะตัดสินชะตาชีวิตในภายภาคหน้าว่าจะไปต่อได้ดีหรือไม่

มึงอยากเรียนหรือจะตามพี่!

สองอย่างว่ะเด็กหนุ่มยักไหล่ตอบ เซฮุนเป็นคนไม่ค่อยจริงจังกับอะไรมากมายซักเท่าไหร่ น้อยเรื่องนักที่เขาให้ความสนใจนั่นเป็นสิ่งที่คยองซูรับรู้ได้หลังจากที่ สนิทกันมาเทอมนึง

แม่ง แล้วมึงล่ะชานยอลจงอินหันไปหาอีกคนที่กำลังนั่งกัดปากกาคิดหนักอยู่ข้างเซฮุน

แม่กูอยากให้เรียนปูซาน

จะไปไกลทำเหี้ยอะไรเพื่อนอีกสามคนพูดขึ้นพร้อมเพรียงกันอย่างไม่ได้นัดหมาย นั่นทำให้คยองซูแอบขำ

ก็แม่กูอยาก แล้วกูก็แบบอะไรก็ได้พวกมึงก็รู้ทุกคนส่ายหน้า ถ้าบอกว่าเซฮุนไม่จริงจังแล้ว ดูเหมือนปาร์คชานยอลจะเป็นหนักกว่า

ส่วนกูนะจะเรียนยอนเซ

ถุย! ไอ้คนรวย! สอบให้ติดเหอะมึงทุกคนหัวเราะร่วนหลังจากจบประโยคของชานยอลที่เอ่ยแซวมุนคยูก่อนจะหันมาให้ ความสนใจกับคยองซูที่นั่งเงียบฟังคนนู้นคนนี้พูดอยู่นาน

แล้วนายล่ะคยองซู?” จงอินรู้สึกตื่นเต้นเหลือเกินที่เซฮุนเอ่ยปากถามร่างเล็ก เขาอยากรู้แต่ก็ไม่กล้าถามเพราะกลัวเหลือเกินกับคำตอบที่จะได้รับ เนื่องจากตนเองหัวไม่ดีผิดกับคยองซูที่ขยันเรียนและมักจะสอบได้อันดับต้น ๆ ของสายเสมอ และถ้าอีกฝ่ายเลือกมหาวิทยาลัยที่เกินความสามารถของเขา ทุกสิ่งอย่างก็อาจจะพังทลายลง นั่นทำให้ร่างสูงกังวล

เราจะเข้า...

โอยยย อย่างคยองซูนี่ต้องเข้ามหาวิทยาลัยโซลเท่านั้นล่ะย่ะ!

ยัยจุ้นเอ้ยยยยยพูดยังไม่ทันจบเสียงของซูจองก็แว้ดเข้าสู่โสตประสาทเสียก่อน เพื่อน ๆ ทุกคนหันไปให้ความสำคัญกับหญิงสาวหน้าตาดีที่มารวมตัวนั่งเลือกอันดับ มหาวิทยาลัยที่จะสอบเข้าด้วยกัน จงอินถอนหายใจพรืดฟังเสียงเพื่อนโวยวายใส่กันแล้วก็นั่งก้มหน้าก้มตา มองกระดาษในมือก่อนจะพับเก็บใส่ใต้โต๊ะตัวเองเงียบ ๆ

เขายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรดี และอะไรบางอย่างก็เกินความสามารถตัวเองไป...

จงอินผิดปกติไปจากเดิม จากเป็นคนยิ้มง่ายกลายเป็นผู้ชายที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเกือบจะตลอดเวลา ดูเครียดเหมือนมีอะไรในใจที่คิดไม่ตกพูดไม่ออก แต่อีกฝ่ายก็ยังทำตัวกับเขาเหมือนอย่างปกติแม้คยองซูจะรับรู้จากสีหน้าและ ท่าทางของร่างสูงที่ดูแปลก ๆ แต่ก็ไม่กล้าถามอะไรออกไปเพราะกลัวจะไปก้าวก่ายความเป็นส่วนตัว สนิทกันมากขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเข้าถึงจงอินได้ในทุกกรณี

เตะบอลกันมึง

พวกมึงไปเหอะ เดี๋ยวกูรอคยองซูเซฮุนไม่พูดอะไร เขาพยักหน้าเข้าใจเพราะรู้ดีว่าจงอินคิดอะไรอยู่ อันที่จริงเพื่อน ๆ ทุกคนรับรู้และเห็นใจแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากมายนักนอกจากคอยปลอบอย่าง ทั่ว ๆ ไป

คล้อยหลังเพื่อนสนิท เด็กหนุ่มก็หยิบกระดาษออกมาจากในลิ้นชักใต้โต๊ะเรียน จงอินมองอยู่อย่างนั้น อันที่จริงเขาจะต้องส่งให้อาจารย์ที่ปรึกษาตั้งแต่สองวันที่แล้ว แต่เพราะยังคิดไม่ออกว่าควรทำอย่างไรดีจึงได้แต่เก็บเงียบมีเพียงแค่เซฮุน ชานยอลและมุนคยูเท่านั้นที่รู้

คยองซูกำลังเดินกลับห้องเพื่อไปเอากระเป๋าหลังจากนำกองงานของเพื่อน ๆ ที่อาจารย์สั่งไปส่งที่ห้องพักครู สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจที่ได้ยินมาจากอาจารย์ประจำชั้นคือการให้ตามทวงเอาราย ชื่อมหาวิทยาลัยจากจงอิน คยองซูไม่ได้สังเกตเลยว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้เขียนส่ง จงอินอาจจะลืมหรือว่าทำหาย ไม่ก็ตกหล่น มีหลายเหตุผลที่เป็นอย่างนั้นเพราะในขณะที่เพื่อน ๆ ทุกคนในกลุ่มฝ่ายนั้นส่งหมดแล้วจงอินคงไม่น่าพลาดอะไร

ร่างเล็กเดินฮัมเพลงอย่างคนอารมณ์ดี วันนี้เขาคิดจะเป็นฝ่ายชวนจงอินไปกินต๊อกโบกิร้านประจำก่อนกลับบ้าน นั่นถือเป็นเรื่องดีในหลาย ๆ วัน เพราะช่วงนี้เขาเห็นร่างสูงเครียด ๆ เลยคิดว่าควรจะหาเรื่องไปเปิดหูเปิดตาซะบ้างหลังจากติวหนังสือมาติด ๆ กันเป็นอาทิตย์

ประตูห้องเรียนอยู่ห่างเพียงไม่กี่ก้าว คยองซูรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่รับรู้อยู่เสมอว่ามีจงอินคอยรออยู่เหมือน อย่างทุกวัน จนบางทีก็เริ่มคิดวิตกกังวลว่าหากวันใดวันหนึ่งอีกฝ่ายเบื่อขึ้นมาทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เคยทำก็อาจจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจ ก็เป็นได้ แต่คนที่มองโลกในแง่ดีเฉกเช่นเขาก็มักจะสลัดมันออกไปจากหัวและคิดที่จะอยู่ กับปัจจุบันดีกว่ามัวแต่คิดมากไปต่าง ๆ นานา

ปลายเท้าชะงักกะทันหัน จากที่เคยเดินอย่างเร่งรีบแต่ตอนนี้คยองซูรู้สึกนึกสนุกอย่างจะแกล้งคนที่ กำลังก้มหน้าก้มตาทำอะไรอยู่บนโต๊ะตัวเองนั้นให้ตกใจเล่น ๆ และอีกใจก็อยากจะรู้ว่าจงอินนั้นทำอะไรฆ่าเวลารอเขา ร่างเล็กค่อย ๆ ก้าวไปหยุดอยู่ข้างหลังจงอินและค่อย ๆ ชะโงกหน้าไปดูว่าอีกฝ่ายกำลังเพ่งสมาธิอยู่กับอะไร

จงอินกำลังคิดหนักอยู่กับกระดาษในมือ เขากำลังคิดมากไปต่าง ๆ นานา คิดไม่ตกและรู้สึกเครียดจนไม่ทันสังเกตอะไรรอบข้าง บางทีพอรู้ว่ารักมากจนไม่อาจจะถอนความรู้สึกออกมาได้นั้นก็ทำให้อะไร ๆ กลับยากขึ้นทุกทีทั้งที่ไม่ควรจะเป็น จงอินรู้ว่าคยองซูเองก็คงรู้สึกอะไรไม่ต่างกับเขา แต่เพราะต่างคนต่างไม่พูดและคิดว่าทุกวันนี้ก็ดีเกินพอไม่ต้องการอะไรที่มาก เกินไปกว่านี้พวกเขาจึงอยากจะหยุดไว้เพียงคำว่าเพื่อน...ทั้งที่ในใจมันคิด ไปมากกว่าการเป็นเพื่อนกันแล้ว


จงอินจะเข้ามหาวิทยาลัยโซลหรอ?” เด็กหนุ่มสะดุ้งพรวดหลังจากเสียงคยองซูดังขึ้นด้านหลัง ร่างสูงลุกพรวดรีบเก็บกระดาษในมือซ่อนไว้ข้างหลังก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคน น่ารักที่ยืนทำตาโตมองเขาอยู่ด้วยความสงสัย

เอ่อ...เขาเองก็ไม่รู้จะตอบอะไรเนื่องจากตนเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะเขียนลงไป แต่เพราะว่ากำลังคิดเรื่องของคนตรงหน้านี่ไงใจมันเลยสั่งการให้เขียนอะไรบ้า ๆ นั่นลงไปโดยไม่ตั้งใจ

หืม...อย่าบอกนะว่าที่ผ่านมาเครียด ๆ เพราะกำลังคิดเรื่องนี้น่ะ?” คยองซูไม่ได้อ่านใจคนออกไปซะหมด แต่เพราะนี่คือจงอิน และตลอดเวลาที่เราสองคนใกล้ชิดกันนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเองก็ไม่ต่าง กับเซฮุน ชานยอลหรือมุนคยูเท่าไหร่ที่จะรู้ใจอีกฝ่าย

เอ่อ..อืม..สุดท้ายก็ยอมจำนนว่าตัวเองกำลังวิตก แต่จงอินไม่ได้บอกออกไปว่าที่เขากังวลมากที่สุดคืออะไร

อยากเข้าที่นี่หรอ?”

อันที่จริง....เอ่อ..ช่างมันเถอะ

แต่...

นายเสร็จแล้วใช่มั้ย กลับบ้านกันดีกว่า

และหลังจากนั้นดูเหมือนว่าทั้งสองคนก็มีใครพูดเรื่องนี้ออกมาอีกเลย

จนกระทั่ง...เวลาล่วงเลยผ่านมาปีกว่า พวกเขาขึ้นปีสุดท้ายของมัธยมปลายได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค และความสนิทกันระหว่างคยองซูกับจงอินเหมือนจะมีอะไรบาง ๆ กั้นกลางเอาไว้เหมือนอย่างที่ผ่านมา หลายเดือนมานี้ทั้งสองไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนปกติ เพราะคยองซูมีติวหนังสือ ส่วนจงอินไม่ได้บอกว่าไปไหนหลังเลิกเรียน แถมทำตัวมีพิรุธจนคยองซูเองอยากรู้ถึงขนาดต้องเข้าไปถามเพื่อน ๆ อีกสามคนของฝ่ายนั้นจนได้ใจความว่า

ใกล้สอบแล้ว ช่วงนี้มันเลยไปติวหนังสือกับรุ่นพี่ดูเหมือนว่าจงอินจะอยากเข้ามหาวิทยาลัยโซลจริง ๆ เพราะไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายก็คงจะไม่ดูตั้งใจอะไรมากขนาดนี้

และแล้วก็ถึงวันประกาศผลสอบ...

ช่วงสอบนั้นจงอินพบว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เขาไม่ค่อยถนัดเรื่อง วิชาการหรืออะไรที่เกินความสามารถของตนเองนั้นเป็นเรื่องที่เขาต้องยอมพ่าย แพ้ ร่างสูงอยากจะหวังแต่กลับท้อเพราะการที่เขาไปติวหนังสือกับรุ่นพี่ที่ผ่านมา นั้นดูเหมือนจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย หลังจากทำข้อสอบเสร็จ เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ท่าทางหมดอาลัยตายอยากนั่นทำให้หลายคนมองอย่างรู้สึกแย่ไปด้วย ในมือจงอินกำกระดาษบางอย่างแน่นก่อนจะก้มหน้าลงขยี้ผมตัวเองด้วยความหงุด หงิดในใจ

เขาสอบไม่ติด....

และที่เลวร้ายกว่านั้นคือ....

คยองซูได้ที่เรียนเป็นคนแรกของห้องเราเลย!นั่นเป็นเสียงของซูจอง ผู้หญิงปีศาจที่ทำให้อารมณ์ของเขาขุ่นมัวเพิ่มมากกว่าเดิม...

มึงควรสอบที่เดียวกับกูนะ อย่างน้อยก็ลองดูก่อน ความรู้ที่ไปติวมาต้องได้ผลบ้างดิวะนั่นเป็นเสียงเซฮุน หนึ่งในเพื่อนที่ยังไม่ได้ที่เรียนเนื่องจากมหาวิทยาลัยที่อีกฝ่ายจะเข้ายัง ไม่เปิดสอบตรง ส่วนมุนคยูและปาร์คชานยอลคงจะสมัครเข้ามหาวิทยาลัยเอกชนซึ่งนั่นไม่จำเป็น ต้องสอบก็ได้

อืม...

เฮ้ย! เอาน่า แค่ไม่ได้เรียนที่เดียวกัน ทำอย่างกับว่ามึงจะไม่เจอคยองซูอีกแล้วนั่นล่ะชานยอลให้กำลังใจเพื่อนด้วยการตบบ่าแรง ๆ เพื่อให้จงอินหายจากอาการซึมเศร้า

ใช่ มึงควรใช้เวลาต่อจากนี้ให้มีค่านะเว่ย อีกเดือนนึงก็จะจบแล้ว ร่าเริงเข้าไว้เพื่อนสิ้นคำพูดของมุนคยูเพื่อนที่เหลือก็ต่างพยักหน้าขันแข็งในขณะที่จงอินมองทุก คนแล้วก็ก้มหน้าหลับตาพยายามยอมรับอะไรหลาย ๆ อย่างให้ได้หลังจากนี้


และแล้วก็ถึงวันสุดท้ายของการเรียนมัธยมปลาย...

ก่อนหน้านั้นจงอินและเซฮุนได้รับข่าวดีจากทางมหาวิทยาลัยซองคยูนกวาน เพื่อน ๆ ก็ต่างมาแสดงความยินดีด้วย แต่ไม่รู้ทำไมจงอินถึงดูไม่ค่อยร่าเริงผิดกับเซฮุนที่พอรู้ว่าสอบติดก็ทำท่า เหมือนถูกรางวัลที่หนึ่ง อันที่จริงคนผิดปกติคงจะเป็นจงอินเสียมากกว่า

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พวกเขาจะได้เจอกัน พวกผู้หญิงบ่อน้ำตาตื้นกอดคอกันร้องไห้ทำอย่างกับจะไม่ได้เจอกันอีกทั้ง ๆ ที่ส่วนใหญ่ก็ได้เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันแถมยังคณะเดียวกันอีกด้วย ผิดกับเด็กผู้ชายที่กำลังวางแผนไปเที่ยวหลังจากนี้อย่างร่าเริง มุนคยูถูกเด็กผู้หญิงข้างห้องเรียกออกไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้วก็ยังไม่ กลับมา ฝ่ายนั้นคงจะถูกสารภาพรักและผู้หญิงคนนั้นก็ดันเป็นคนเดียวกับที่เพื่อนเขา พูดอยู่บ่อย ๆ ว่าชอบเธอ... เซฮุนกับชานยอลถูกนักเรียนรุ่นน้องรุมล้อมอยู่แถวสนามฟุตบอล บางคนถึงกับร้องไห้ที่ทั้งคู่จะต้องจบการศึกษาไปวันนี้พวกเธอก็เลยใช้โอกาส นี้ขอกระดุมเม็ดที่สองจากเพื่อนของเขา แต่ก็ไม่มีใครได้ไป ปาร์คชานยอลไม่ได้ให้เหตุผล ฝ่ายนั้นมักจะเอาตัวรอดได้ดี และถ้าจะสังเกตดี ๆ กระดุมเม็ดที่สองของเซฮุนหายไปตั้งแต่เช้าในตอนที่พี่ชายข้างบ้านของหมอนั่น มาแสดงความยินดีที่โรงเรียน....

จงอินกำลังนั่งมองคยองซูพูดคุยอยู่กับเพื่อน ๆ ด้วยความรู้สึกแห้งเหี่ยว วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะได้มีโอกาสอยู่กับร่างเล็กในฐานะเพื่อนร่วม ชั้น รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก และถึงแม้ว่ายังไงเราสองคนก็อาจจะได้เจอกัน โทรคุยกัน แต่ก็ไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป จงอินกำลังรู้สึกหมดหวังกับอะไรบางอย่าง เขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าคืออะไร

จงอิน...เพราะเห็นร่างสูงนั่งทำหน้าเบื่อ ๆ ก็เลยปลีกตัวจากเพื่อน ๆ มาหา คยองซูมองหน้าผู้ชายที่เขาแอบชอบมาตลอดสามปีตั้งแต่ได้เข้ามาเรียนห้องเดียว กันด้วยความชื่นชม จงอินเป็นคนหน้าตาดี บุคลิกดี ทุกอย่างลงตัวไปหมดจึงทำให้สาว ๆ คอยตามกรี๊ดตลอด แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมช่วงหลัง ๆ ที่ตนเองเข้ามาสนิทด้วยกับกลุ่มอีกฝ่าย สาว ๆ ที่เคยมาสารภาพรักบ่อย ๆ กลับค่อย ๆ หายไปทีละคน แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่คยองซูจำเป็นจะต้องใส่ใจ

ไม่เบื่อหรอมานั่งคนเดียว ไปถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ กัน

ไม่เอาอ่ะคยองซูย่นจมูกใส่คนดื้อรั้นก่อนจะตัดสินใจนั่งลงข้าง ๆ จงอิน

วันนี้จะไปไหนกัน เห็นมุนคยูบอกว่าจองห้องคาราโอเกะไว้

จองไว้ แต่คงต้องยกเลิก ท่าทางหมอนั่นคงจะอยากมีเวลาส่วนตัว

อ่า...นั่นสิเนอะ...คยองซูนั่งห้อยขาอยู่ข้างจงอิน พวกเขากำลังนั่งมองเพื่อน ๆ ที่พูดคุยกันกลางสนามฟุตบอลพยายามซึมซับบรรยากาศเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่า ที่จะจำได้

ต่อจากนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้...เพราะพอพวกเราต่างก็แยกย้ายกันไปเรียนในที่ที่เป็นดั่งความฝัน ความรู้สึกของการใช้ชีวิตมัธยมปลายก็จะค่อย ๆ จางหาย มหาวิทยาลัยไม่ได้มีเพื่อนที่จะคอยช่วยเหลือตลอดเวลาเสมอไป พวกเขาต้องเจอเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ ๆ และพอเริ่มเติบโตขึ้น อะไรหลาย ๆ อย่างก็อาจจะมีบ้างที่ค่อย ๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา

ไม่อยากเรียนจบเลย...เด็กหนุ่มถอนหายใจหลังจากคยองซูพูดจบ แขนทั้งสองข้างของจงอินวางเท้าไว้ด้านหลังในขณะที่คยองซูตั้งแขนไว้ข้างตัว ดวงตาคมลอบมองใบหน้าน่ารักจากด้านข้าง ริมฝีปากคยองซูกำลังเม้มเข้าหากันแน่น ส่วนแก้มใสก็พองลมนิดหน่อยคล้ายกำลังครุ่นคิดเสียดายกับอะไรบางอย่าง จงอินกำลังรู้สึกว่าเขาควรจะบอกความในใจออกไปก่อนที่อะไรจะสายไป..

คยองซู...

หืม...?” แต่พออีกฝ่ายหันมาทำตาโตใส่อย่างน่ารักน่าชัง เขาก็กลับอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่อย่างนั้น...

ฉัน...จงอินพูดไม่ออก พอถึงเวลาจริง ๆ เขากลับไม่อยากให้คำว่ารักมาทำลายความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ลง แน่นอนว่าเขาขี้ขลาด แต่เพราะการที่เรายังเป็นอยู่แบบนี้ ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลยซักนิดเดียว

นี่! พวกนายสองคนน่ะ หันมาทางนี้หน่อยสินั่นเป็นเสียงของซูจองที่ตะโกนขัดจังหวะขึ้นมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จงอินรู้สึกอยากจะเดินเข้าไปขอบคุณเธอ



จงอิน...ระหว่างที่ซูจองกำลังจัดการกับกล้องโพลารอยด์ของเธอ คยองซูก็เรียกร่างสูงข้างกายเบา ๆ

หืม...?”

ถ้าเจอกันคราวหน้าฉันมีอะไรจะบอก...

บอกเลยไม่ได้หรอ?” คยองซูหันไปยิ้มบาง ๆ ให้จงอินแล้วสั่นศีรษะ เสียงซูจองโหวกเหวกอยู่ข้างหน้า เพื่อน ๆหลายคนต่างก็มองมาที่พวกเขา แต่สิ่งที่คยองซูและจงอินสนใจก็คือกันและกัน ทั้งคู่ขยับเข้าใกล้กันมากขึ้นจนมือที่วางอยู่ข้างกันนั้นทับซ้อนลงไปอย่าง ไม่ได้ตั้งใจ

นับหนึ่งถึงสามแล้วยิ้มกว้าง ๆ เลยนะ! 1 2 3!!”

ภาพถ่ายของทั้งคู่ที่กำลังนั่งเอียงศีรษะเข้าหากันพร้อมชูสองนิ้วด้วยใบ หน้ายิ้มแย้มนั้นจงอินเป็นคนเก็บเอาไว้ เขาหยิบขึ้นมามองทุกทีที่คิดถึงบรรยากาศนั้น และยิ่งเวลาผ่านมาเกือบจะเข้าเดือนที่สามที่เขาไม่ได้เจอกับคยองซูด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้เขาหยิบมามองถี่ขึ้นทุกวันจนคนรอบกายต้องเอ่ยปากทัก

ระยะเวลาหลังจากเรียนจบจงอินก็ไม่ได้เจอกับคยองซูเลยเนื่องจากเขาเองก็ ต้องเตรียมตัวเข้าเรียนในขณะที่ฝ่ายนั้นก็กำลังยุ่งอยู่เช่นกัน พวกเขาไม่ได้ติดต่อกันเลยจนกระทั่งวันเปิดเรียนวันแรกของการใช้ชีวิต มหาวิทยาลัยมาถึง....

จงอินเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสนิท เขารอเซฮุนมานานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วหมอนั่นก็ยังไม่โผล่มาซักทีจนอีกฝ่าย โทรมาบอกว่าให้ไปเจอที่หน้าตึกคณะ ร่างสูงเลยต้องเดินเข้าไปคนเดียวทั้งที่ไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาเท่าไหร่ เนื่องจากยังไม่ชินกับบรรยากาศแบบนี้ เด็กหนุ่มเดินผ่านผู้คนมากมายที่กำลังมองมาที่ตัวเองอย่างสนอกสนใจและพอเขา เดินมาถึงหน้าตึกที่เซฮุนบอกเอาไว้กลับไม่เจอเพื่อนตัวดี จงอินรู้สึกหัวเสียนิดหน่อยและก่อนที่จะกดโทรศัพท์ไปโวยวาย ใครบางคนก็มาดึงมือถือราคาแพงออกไปจากมือของเขา

คยองซู...ฝ่ายนั้นยืนยิ้มกว้างมาให้นั่นแทบจะทำให้จงอินอยากจะกระชากเข้ามากอดแรง ๆ ให้หายจากอาการคิดถึง...

.

.

.

ไม่น่าเชื่อว่านายก็เป็นไปกับพวกนั้นด้วย...นั่นเป็นคำพูดของจงอินหลังจากที่คยองซูถูกรบเร้าให้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ตั้งแต่การเข้าใจผิดของทุกคนที่คิดว่าคยองซูจะเข้ามหาวิทยาลัยโซลจนถึง เรื่องสุดท้ายที่ทั้งคู่ได้มาเจอกันที่นี่

คยองซูไม่ได้หลอกใครเพียงแต่เขาไม่ได้พูดตั้งแต่แรกว่าตนเองจะเข้าเรียน ที่ซองคยูนกวาน แล้วพอรู้ว่าจงอินจะเรียนมหาวิทยาลัยโซลก็เกิดอาการเสียใจนิดหน่อยที่เรา ทั้งคู่จะต้องแยกย้ายกัน แต่พอหลังจากที่รู้ว่าอีกฝ่ายผิดหวังและสอบเข้าเรียนที่เดียวกับตนเองคยองซู ก็แค่อยากจะเก็บเอาไว้เซอร์ไพรซ์ในครั้งหน้าที่เราเจอกัน หลังจากนั้นก็เป็นแผนของเพื่อนฝ่ายนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตนเองเลย

พวกนั้นก็แค่หวังดีนี่นา..พูดไปก็ยิ้มไปนั่นทำให้จงอินมีความสุขเกินกว่าจะบรรยายออกมา

เรื่องนี้ใช่หรือเปล่า ที่อยากจะบอกฉันคยองซูเงยหน้าขึ้นมองคนข้างกายเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าหลบตาแล้วพึมพำเบา ๆ ซึ่งประโยคเหล่านั้นจงอินได้ยินทั้งหมด

นึกว่าจะลืมไปแล้วซะอีกจงอินกำลังรู้สึกว่าโลกทั้งใบของเขากำลังมีเพียงแค่คยองซูคนเดียวที่อาศัย อยู่ ช่วงเวลานี้แค่คำว่าสุขใจคงไม่เพียงพอ เขายิ้มจนแก้มจะแตกในขณะที่คยองซูเองก็ดูเหมือนจะมีความสุขมากกว่าทุกที

พวกเขานั่งอยู่บนผืนหญ้าข้างหน้าเป็นสระน้ำใหญ่ของมหาวิทยาลัย บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบมีแต่กลุ่มนักศึกษาสองสามกลุ่มเท่านั้นที่นั่งพูด คุยกัน ทั้งจงอินและคยองซูต่างก็แลกเปลี่ยนเรื่องราวในระหว่างที่เขาทั้งคู่ไม่ได้ เจอกัน นั่นคือช่วงเวลาดี ๆ ที่จงอินคิดถึงมาตลอด

จงอิน...

หืม?”

รู้มั้ย...ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันเกลียดคำว่าเพื่อนของเราจัง...จงอินเงียบไปครู่หนึ่งหลังจากประโยคนั้นหลุดออกมาจากปากของคยองซู เขาคิดมาตลอดว่าเราทั้งคู่ใจตรงกัน แต่ที่ไม่อยากจะสารภาพรักออกไปเพราะความเป็นเพื่อนเป็นเหตุผลที่เขาอยากจะ เก็บรักษาเอาไว้ จงอินคิดเสมอว่าเราดีต่อกันในขณะที่เราเป็นเพื่อนแม้เราห่างกันเราก็สามารถ คุยกันได้ในฐานะเพื่อน แต่ถ้าเราเลื่อนขั้นเป็นคนรักความห่างไกลอาจจะทำให้ความสัมพันธ์ของเราจบลง โดยที่ไม่เหลือความรู้สึกดี ๆ แต่เขาคิดผิดมาตลอด เพราะช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกับอีกฝ่าย จงอินรู้สึกว่าเขาไม่มีความสุข และรู้สึกเสียดาย ที่วันนั้นไม่ได้สารภาพความในใจบางอย่างออกไป...

วันนี้เขาพร้อมจะแก้ตัว...ถึงแม้สุดท้ายแล้วเราอาจจะต้องเลิกรากัน แต่อย่างน้อยความรู้สึกในช่วงที่เรารักกัน คงทำให้เขาได้รับความสุขมากกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย...

แล้ว...อยากเป็นมากกว่าเพื่อนหรือเปล่าล่ะ?” ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนพูดเองแท้ ๆ แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเขินจนทำอะไรไม่ถูก จงอินหันหน้าไปด้านข้างแล้วเกาท้ายทอยแก้เขิน ทุกสิ่งที่อยู่รอบกายพากันเป็นใจให้เกิดความเงียบขึ้นเพื่อสร้างบรรยากาศดี ๆ ให้กับคนทั้งสอง คยองซูก้มหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เอียงศีรษะไปซบกับลาดไหล่ของคนข้างกายเพื่อยืนยันบางสิ่งที่เขาพร้อมจะพูด ออกไปถ้าอีกฝ่ายต้องการ

อื้ม..เพียงแค่นั้น เรื่องราวของคนทั้งคู่ก็เริ่มเดินทางใหม่อีกครั้ง แม้จะดูเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน เพราะจงอินเองก็ยังเป็นจงอินที่คอยดูแลเอาใจใส่คยองซูอยู่ทุกเมื่อ ในขณะที่คยองซูเองก็รักและไว้ใจอีกฝ่ายเหมือนอย่างเดิม จะมีก็เพียงแต่คำว่ารัก ที่คนทั้งสองพร่ำพูดให้กันตั้งแต่ตื่นนอนจวบจนกระทั่งในช่วงก่อนที่กำลังจะ เข้าสู่ห้วงนิทรา แม้จะไม่ได้หวานเหมือนคู่รักคู่อื่น แต่จงอินกับคยองซูก็เป็นคู่รักที่ทำให้หลายคนอิจฉาได้เสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลง




END.

No comments:

Post a Comment