Nothing
Like You And I
มันเป็นเช้าวันธรรมดาวันหนึ่ง
วันที่ต้องมาโรงเรียนและเริ่มต้นการตื่นนอนด้วยอาการงัวเงียไม่อยากจะลุก
ขึ้นจากที่นอน ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ...
คยองซูอาบน้ำแต่งตัวเริ่มเช้าวันใหม่ด้วยการทำอะไรเดิม
ๆ ตื่นมากดนาฬิกาปลุกและหลับต่ออีกห้าถึงสิบนาทีก่อนจะต้องลุกลี้ลุกลนรีบลุก
จากที่นอน เมื่อได้ยินเสียงคุณแม่แสนสวยเคาะห้องเรียกหา เขาล้างหน้า แปรงฟัน
อาบน้ำ และแต่งตัว กลิ่นสบู่อ่อน ๆ กับโคโลญยี่ห้อประจำหอมฟุ้งกระจายเต็มห้องไปหมด
และแล้ว..ก็ถึงเวลาไปโรงเรียน
“ผมไปก่อนนะครับแม่” คุณแม่ขานรับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไพเราะน่าฟัง
แล้วก็เดินเข้าไปกอดพร้อมหอมแก้มอีกฟอดใหญ่
ชื่นใจทั้งคุณแม่และลูกชายตัวเล็กน่ารัก เป็นกิจวัตรอย่างนี้ทุกเช้า
คยองซูไปโรงเรียนด้วยการนั่งรถเมล์สายประจำที่ตนเองอาศัยโดยสารมาตั้งแต่
เรียนชั้นประถม
บนรถนั้นเต็มไปด้วยเด็กนักเรียนโรงเรียนเดียวกันกับเขาที่กำลังส่งเสียงพูด
คุยกันจอแจทำอย่างกับไม่ได้เจอกันมานานร่วมเดือน แต่คยองซูก็ไม่ได้ใส่ใจ
เขายิ้มบาง ๆ ก่อนเสียบหูฟังและก้มลงกดไอพอดพลางคิดว่าจะเลือกฟังเพลงไหนเป็นเพลงต่อไปดี
“เจอกันอีกแล้ว” หูฟังข้างหนึ่งถูกใครบางคนดึงออกก่อนเสียงทุ้มที่จงใจจ่อริมฝีปากเข้ากับใบ
หูของเขาจะดังขึ้นจนขนลุกเกรียวเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่กำลังรินรดต้นคอ
คยองซูผงะหนีก่อนจะเห็นชัดเต็มตาว่าอีกฝ่ายที่เข้ามาทักอย่างไม่ทันตั้งตัว
แบบนี้คือใคร
“จงอิน” ร่างสูงยักไหล่ยักคิ้วแล้วขยับปลายเท้าเข้ามายืนเคียงข้าง
เสียงเสียดสีของเสื้อสูทโรงเรียนแบบเดียวกับเขาดังเข้าสู่โสตประสาทของคยอง
ซูก่อนร่างเล็กจะลอบมองหน้าคนที่กำลังหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างพลางใช้แขน
อีกข้างโหนราวรถเมล์
“มองหน้านี่หมายความว่าไง” ร่างเล็กรีบหันกลับหลบสายตาวิบวับของอีกฝ่ายที่ส่งมาพร้อมรอยยิ้มแฝงนัยอะไรบางอย่างและหลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้เปิดปากเริ่มต้นบทสนทนาของวันอย่างที่ควรจะเป็น
วิชาประวัติศาสตร์เกาหลี
นอกจากจะเป็นวิชาที่น่าเบื่อแล้ว อาจารย์ผู้สอนก็ยังน่าเบื่อไม่ต่างกัน เพื่อน ๆ
ในห้องบางคนยกหนังสือตั้งขึ้นคล้ายจะตั้งใจเรียนแต่เบื้องหลังนั้นกลับฟุบ
หลับกรนเบา ๆ ไปแล้วเรียบร้อย พวกผู้หญิงในห้องก็เอาแต่นั่งกดโทรศัพท์
ส่วนเด็กเรียนที่นั่งหน้าชั้นก็เท้าคางทำหน้าเบื่อหน่ายในใจคงจะอยากให้
เสียงออดหมดคาบเรียนดังขึ้นไว ๆ
คยองซูนั่งโต๊ะเกือบหลังสุดติดหน้าต่าง
เมื่ออาทิตย์ก่อนเขาจับฉลากได้เลขที่นั่งตรงนี้ก็เลยต้องจำใจยอมทนไปอีก
เดือนนึงก่อนจะถึงเวลาเปลี่ยนที่นั่งใหม่อีกครั้ง ร่างเล็กไม่ค่อยชอบเท่าไหร่
เพราะเป็นที่ที่ทำให้เสียสมาธิได้อย่างเกินความคาดหมายเลยทีเดียว
กึง!!
“โอ๊ย!” เสียงวัตถุบางอย่างลอยมากระแทกกับขอบหน้าต่างก่อนจะกระเด้งปะทะกับศีรษะของ
คยองซูอย่างแรงจนต้องร้องเสียงดังออกมา เพื่อน ๆ
ในห้องต่างก็สะดุ้งกันเป็นแถวไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่กำลังหลับสบายก็ลุกขึ้น
งัวเงียมอง ลูกบอลต้นเหตุกระเด้งกระดอนอยู่ภายในห้องก่อนจะค่อย ๆ สงบลงกลิ้งไปชนกับปลายเท้าเพื่อนคนหนึ่ง
“ใครน่ะ!” อาจารย์ประจำวิชาวางหนังสือลงกับโต๊ะก่อนจะเดินไปที่หน้าต่างและชะโงกลงไป
ตะโกนถามเสียงดัง
แต่โชคร้ายที่บนสนามด้านล่างนั่นไม่เหลือนักเรียนหน้าไหนซักคนให้ลงโทษ
“เป็นอะไรมากหรือเปล่า ไปห้องพยาบาลมั้ย?” ท่านถามด้วยความหวังดี
เพราะเสียงผู้เคราะห์ร้ายนั้นดังจนจินตนาการได้เลยว่าคงจะเจ็บน่าดู
“แล้วพวกหลังห้องทั้งแถบนั่นหายไปไหนกันหมด” ยังไม่ทันจะตอบก็เริ่มคำถามใหม่ด้วยน้ำเสียงโหดจนหลายคนสะท้าน
แต่ก็นะ...ไม่มีใครตอบได้ซักคน
พอหมดคาบทุกคนก็ลุกจากที่นั่งหลังจากส่งอาจารย์สอนวิชาแสนโหดเดินออกไป
จากห้อง เพื่อน ๆ บางคนเข้ามาสอบถามถึงอาการเจ็บ แต่คยองซูก็ทำได้เพียงส่ายหน้าตอบ
พูดคุยกันเรื่องสนุก ๆ
เพียงไม่กี่เรื่องเสียงโหวกเหวกจากด้านนอกก็ดังเข้าโสตประสาททำให้ต้องหันไป
มองประตู
“เหี้ย! ดีนะหมดคาบพอดี” คำสบถหยาบคายที่ได้ยินนั้นมาจากหนึ่งในกลุ่มหัวโจกของห้อง
ชานยอลเดินเข้ามาพร้อมเพื่อนอีกสามคนซึ่งนั่นรวมไปถึงคิมจงอิน
ผู้ชายที่คยองซูมักจะมีอัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติเสมอเมื่อได้เห็นหน้า
“พวกนาย! โดดเรียนไปไหนมาน่ะ?!” จองซูจอง
เด็กผู้หญิงหน้าตาดีหัวหน้าห้องของพวกเขาเท้าเอวถามเสียงดัง
“เล่นบอลอยู่ข้างล่าง” นั่นเป็นเสียงตอบของโอเซฮุน
“อ๋ออออออ นี่แน่ะ!”
“เฮ้ย เธอทำอะไรน่ะยัยจอง!” เขาโวยวายเสียงดังเมื่อโดนหญิงสาวใช้แปรงลบกระดาษเคาะไปบนศีรษะ
“ก็พวกนายน่ะสิ ทำคยองซูเจ็บ ไปขอโทษเลยนะ!” คยองซูยิ้มแหย
ๆ กำลังจะเอ่ยปากห้ามไม่ให้เพื่อนพูดอะไรมากมาย
ทันใดนั้นเองเสียงลากเก้าอี้ก็ดังขึ้นพร้อมกับจงอินที่ลุกออกไปจากห้องด้วย
ความไวแสง ทิ้งปริศนาให้กับทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์
“นิสัยแย่! ทำแล้วไม่ขอโทษ”
“แล้วเธอล่ะยัยกิ้งก่า ตบหัวฉันเนี่ยขอโทษยัง?”
“ก็พวกนายทำคยองซูเจ็บ ดูสิหัวแตกหรือเปล่าก็ไม่รู้” พูดพลางตรวจสอบศีรษะเพื่อนดูว่ามีตรงไหนแตกหักอย่างที่พูดหรือไม่
“เว่อร์! อีกอย่าง พวกฉันไม่ได้เตะ คนเตะมันไปนู่นแล้วนั่น
ไปตามจิกกลับมาเส่ะ!” ปาร์คชานยอลเถียงกลับอย่างไม่ยอม
คยองซูละสายตาจากเพื่อน ๆ ที่กำลังถกเถียงกัน
เขามองไปนอกห้องยังทิศทางที่จงอินวิ่งออกไป
ทันใดนั้นในใจก็รู้สึกเจ็บที่ฝ่ายนั้นดูไม่ใส่ใจจะถามไถ่อาการเขาซักนิด แค่ถามเล่น
ๆ ก็ยังดี แต่นี่ไม่มีเลย ร่างเล็กถอนหายใจก่อนจะลุกเดินหายออกไปอีกคน
กะว่าจะไปห้องน้ำส่องกระจกตรวจดูเสียหน่อยว่ามันแดงหรือเกิดบวมบ้างหรือ เปล่า
คยองซูทำธุระอยู่ในห้องน้ำอยู่ครู่ใหญ่
ก่อนจะเดินก้มหน้าก้มตาเช็ดมือออกมาโดยไม่ได้สังเกตเลยว่ามีใครบางคนกำลัง
วิ่งมุ่งหน้ามายังตนเอง ระหว่างที่กำลังงุ่นง่านอยู่กับสายนาฬิกาข้อมือเจ้าปัญหาที่ใส่ยากใส่เย็น
เสียจนต้องหยุดยืนพลางเพ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับมัน
เสียงหอบหายใจพร้อมฝีเท้าของใครบางคนก็มาหยุดขึ้นตรงหน้า
“หายไปไหนมา ฉันตามหานายแทบแย่” เป็นจงอินที่กำลังยืนก้มตัวยันมือทั้งสองข้างไว้บนหน้าขา
คยองซูเอียงคอขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“มีอะไรหรอ?” เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบ
แต่เจ้าของร่างสูงผิวสีคล้ำกว่าตนเองกลับยื่นสิ่งหนึ่งมาให้แทนคำพูด
“อื่อ รับไปสิ” เพราะคยองซูยังยืนงงมองสิ่งนั้นไม่ยอมรับไปเสียที
จงอินจึงเดินเข้ามาใกล้และส่งเสียงแกมบังคับให้เขารีบ ๆ รับไป
พอร่างเล็กรับมาไว้กับตัวก็ได้เห็นเต็มตาว่าคือยาแก้ฟกช้ำที่เห็นทั่วไปตาม
ร้านขายยา
ในวินาทีนั้น
หัวใจดวงน้อย ๆ ก็เต้นแรงไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง
“นายไปเอามันมาหรอ?”
“อืม”
“ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไร แล้วก็..ขอโทษที” คยองซูชะงักกับประโยคนั้นของผู้ชายตรงหน้าที่กำลังยืนก้มหน้านิด
ๆ พลางลูบท้ายทอยแก้เขิน ก่อนจะค่อย ๆ คลี่ยิ้มบาง ๆ
แต่แสนจะสดใสเหลือเกินในสายตาคิมจงอิน
ทั้งคู่กำลังเดินไปโรงอาหาร
เพราะเป็นเวลาพักกลางวันพอดีทุกคนเลยไปรวมตัวอยู่ที่นั่นกันหมด
หลังจากถกเถียงทะเลาะกันอยู่นานว่าใครจะเป็นคนทายาให้
เพราะคยองซูเองก็ยืนยันว่าอยากจะทำเองแต่จงอินกลับไม่ยอมและหาข้ออ้างสารพัด
ซึ่งนั่นทำให้ร่างเล็กต้องยืนนิ่ง ๆ
กลั้นลมหายใจในขณะที่อีกฝ่ายกำลังบรรจงป้ายยาแล้วนวดเบา ๆ บนหน้าผากมนของตัวเขาเอง
“กินไรดีนะ” จงอินเอ่ยลอย ๆ
เหมือนจะเป็นประโยคที่พูดกับตัวเองซะมากกว่าคยองซูเลยไม่ทันได้คิดอะไร
เขายืนนิ่งอยู่หน้าทางเข้าพลางมองไปรอบกายที่ทุกสายตาของเพื่อนพี่น้องร่วม
โรงเรียนกำลังมองมาที่ตนเองเป็นจุดเดียว
ร่างเล็กขมวดคิ้วพลางสำรวจตัวเองว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่แต่ไม่ว่าคยองซูจะ
หันซ้ายหันขวาหันหน้าไปยังประตูกระจกมองดูตัวเอง เขาก็ยังไม่พบว่ามีอะไรที่แปลกไป
“นี่ ถามว่ากินอะไรดี?” คยองซูสะดุ้งเมื่ออยู่ดี ๆ
จงอินก็ยื่นหน้ามาใกล้เสียจนปลายจมูกฝ่ายนั้นเกือบชนแก้มของเขา
ดวงตากลมเบิกกว้างสติสตังไม่เหลืออยู่กับตัว แทบบ้าเมื่อเจอแบบนี้
แต่คยองซูก็เก็บอาการได้ดีเกินกว่าจงอินจะสังเกตเห็น
หรืออันที่จริงเขาแค่คิดไปเองว่าไม่มีใครรู้กันแน่
พอจัดแจงซื้ออาหารกลางวันเรียบร้อยคยองซูก็ต้องจำยอมเดินตามคนเอาแต่ใจ
ที่ถือถาดข้าวสองถาดเดินนำหน้าพาไปนั่งโต๊ะ ทั้งที่บอกแล้วแท้ ๆ ว่าจะนั่งกับพวกซูจอง
แต่ดูเหมือนจงอินจะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและพาไปหยุดนั่งที่โต๊ะกลุ่มเพื่อน ๆ
ของฝ่ายนั้น
“กลัวคนไม่รู้?” มาถึงเซฮุนก็เปิดปากพูดด้วยพลางยักคิ้วหลิ่วตามีเลศนัยมาทางเขา
จงอินไม่ได้ตอบอะไรแต่คยองซูเห็นฝ่ายนั้นใช้ศอกกระแทกเข้ากับศีรษะเซฮุนอ
ย่างแรงจนดูเหมือนจงใจ
“เหี้ย” เซฮุนสบถด่าพลางลูบศีรษะตัวเองป้อย ๆ
ในขณะที่ปาร์คชานยอลตบโต๊ะขำแบบไม่เหลือสติให้เอ่ยปากกวนอารมณ์อะไรได้อีก
“กินข้าว ๆ” จัดแจงที่นั่งให้คยองซูเสร็จสรรพก็ยัดช้อนเข้ามือฝ่ายนั้นไม่ทันให้คยองซู
ได้คิดอะไรตาม ใบหน้าน่ารักมีแววขัดใจพลางคิดว่า หมอนี่ช่างเผด็จการจริง ๆ
ระหว่างที่กินข้าวกลางวันกันพลางฟังบทสนทนาระหว่างเพื่อนของจงอิน
คยองซูก็ได้แต่นั่งไม่เป็นสุขเพราะอึดอัดเหลือเกินกับสายตาหลายคู่ที่จ้อง
เขาจนแทบจะทะลุทะลวงอยู่รอมร่อ
ริมฝีปากบางเม้มแน่นขยับขบกันพร้อมคิดมากมายในหัวว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็พยายามคิดไปว่ากลุ่มของจงอินเป็นพวกเด็กฮ็อตคงไม่แปลกถ้าจะมีบุคคลแปลก
หน้าเช่นเขามานั่งรวมอยู่ด้วยกันแบบนี้
เพราะจงอินช่างสังเกต
และพอเป็นคยองซูด้วยแล้วเขาเลยให้ความสนใจมากกว่าปกติ
เด็กหนุ่มมองใบหน้าอีกฝ่ายที่ดูกังวลแล้วก็หันไปมองรอบกายก่อนจะเข้าใจได้ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนข้าง
ๆ จงอินยักไหล่ เขาชินเสียแล้ว
และก็รู้ด้วยว่าทำไมคนพวกนั้นถึงจ้องคยองซูเอาเป็นเอาตายแบบนี้
“คนเยอะชิบหาย”
“ก็เพราะมึงแหล่ะ” ขมวดคิ้วเป็นคำถามสำหรับประโยคนั้นที่ออกมาจากปากของมุนคยูที่นั่งเงียบอยู่
นานเพราะกำลังซัดข้าวกลางวันด้วยความหิวอยู่
“เอาใครมาด้วยล่ะแหม แบบนี้ประกาศตัวเลยดีกว่ามั้ยมึง”
“ไอ้เหี้ย เดี๋ยวไก่ตื่น” พูดพลางปาเศษกระดาษทิชชู่ใส่เซฮุน
“ไม่ทันว่ะ กูว่าตื่นแล้ว แต่อาจจะยังงง ๆ” นั่นคือปาร์คชานยอลบุคคลที่พูดเสียงดัง
ขี้โวยวายและปากมากที่สุดเกินกว่าใคร
คยองซูกะพริบตาปริบ
ๆ ฟังคนพวกนี้หัวเราะกันพลางยิ้มมีเลศนัยให้เขาแล้วก็ได้แต่สงสัย ก็คนไม่เข้าใจ
ยิ่งกำลังหวาดระแวงสายตาคนมากมายแล้วยังจะต้องมากังวลกับอะไรนี่อีก
มันทำให้เขาหงุดหงิด
“ฉันขึ้นห้องก่อนนะ”
“อ้าว เดี๋ยวสิ รอด้วยคยองซู” จงอินลุกลี้ลุกลนเดินตามออกไปท่ามกลางสายตาล้อเลียนและเสียงแซวของเพื่อนใน
กลุ่ม ไม่วายหันมาชี้หน้าคาดโทษแต่พวกนั้นก็รู้ดีว่าเพื่อนตนเองทำอะไรไม่ได้เพราะ
ต้องรีบตามคนน่ารักที่แอบชอบมานานแรมปีนั่นเสียก่อน
หลังจากวันนั้นคยองซูก็โดนจงอินตามติดถึงขนาดที่ตัวเองนั้นหลงเข้ามาอยู่
ในกลุ่มของร่างสูงนั่นตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทันได้ตั้งตัว
ร่างเล็กเริ่มชินกับการตื่นนอนตอนเช้าด้วยเสียงนาฬิกาปลุกที่ไม่ใช่เจ้าตัว
คร๊องหนึ่งในตัวการ์ตูนโปโรโระที่ดังรบกวนเขาทุกเช้าเหมือนอย่างปกติ
แต่กลับเป็นเสียงทุ้มแสนสดใสที่ดังลอดออกมาจากโทรศัพท์มือถือทุกเช้าในเวลา เจ็ดโมงตรง
และพอคยองซูอาบน้ำแต่งตัว
ทานอาหารที่คุณแม่สุดสวยใจดีทำให้เป็นประจำเสร็จเขาก็มักจะพบว่าจงอินนั้นมา
นั่งรออยู่หน้ารั้วบ้านอีกอย่างเคย
“บอกแล้วว่าไม่ต้องมารอไง” คยองซูหน้ามุ่ยใส่คนตัวสูงที่ยืนฉีกยิ้มกว้างจนดวงตาหยีตามไปด้วย
จงอินไม่ได้ตอบอะไรเพราะรู้สึกว่าไม่มีข้ออ้างอะไรจะมาหว่านล้อมให้อีกฝ่าย
เชื่อได้อีกแล้ว ดูก็รู้ว่าคยองซูไม่ได้แสนซื่ออย่างหน้าตาซักเท่าไหร่
พวกเขาขึ้นรถเมล์คันเดิม
และก็เหมือนทุกเช้าที่จะเต็มไปด้วยเด็กนักเรียนโรงเรียนเดียวกันกับพวกตน
คยองซูก็ยังต้องยืนโหนรถในขณะที่จงอินก็คอยยืนเคียงข้างเสมอ
ทั้งคู่ไม่ค่อยได้พูดคุยอะไรกันมากมายนัก
ก็เป็นปกติเหมือนก่อนที่เขาสองคนจะไม่สนิทอะไรกันมากขนาดนี้
แต่ทั้งจงอินและคยองซูต่างก็รู้ดีว่าบางอย่างมันแปลกไป
หัวใจของเขาทั้งคู่มันใกล้กันมากกว่าเดิม...
“เดี๋ยวนี้ตัวติดกันจัง~” จองซูจองทักทายยามเช้าด้วยน้ำเสียงสดใสที่ฟังยังไงฃก็ดูล้อเลียนแปลก
ๆ คยองซูไม่พูดอะไรทำได้แค่เพียงปรายตามองก่อนจะพยักหน้าส่ง ๆ
ให้คนที่หันมาพูดเสียงดังใส่ว่าจะไปเตะบอลกับพวกเซฮุน
คล้อยหลังจงอินที่หายออกไปจากห้อง
พวกผู้หญิงในห้องก็กรูกันเข้ามาเกาะขอบโต๊ะเรียนของคยองซูพลางส่งสายตาวิ
บวับบ่งบอกว่าอยากจะรู้อะไรบางอย่างที่พวกเธอเข้าไม่ถึงซะเหลือเกิน
“เป็นแฟนกัน?”
“จะบ้าหรอ” ปฏิเสธด้วยน้ำเสียงตกอกตกใจ
“แหน่ะ อย่ามาโกหกเลยน่า~” จองซูจองก็ยังเป็นหัวโจกเสมอไม่เปลี่ยนแปลง
เธอสวย หุ่นก็ดี นิสัยถึงจะห้าวไปหน่อยแต่ก็ทำให้ผู้ชายหลายคนหลงใหลได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“จริง ๆ นะ”
“ไม่เชื่อหรอก ดูสิ มาโรงเรียนด้วยกันทุกวัน
กลางวันก็พรากนายจากฉันไปนั่งกินข้าวด้วย
แถมตกเย็นยังทำเป็นหวงก้างไม่ให้ไปไหนกับพวกเราอีก เนอะ” หันไปขอความสนับสนุนจากเพื่อน
ๆ รอบกายและก็ได้รับเสียงขานรับเห็นด้วยตอบกลับมา
“ไม่ได้เป็นอะไรกันจริง ๆ นะ...เป็น...เพื่อนนั่นแหล่ะ” เขาเกลียดคำนี้จริง ๆ...
มันเป็นอย่างที่ซูจองพูดจริง
ๆ จงอินทำตัวติดกับเขาไม่ให้ไปไหนพ้นจากสายตาเลยซักครั้งเฉกเช่นตอนนี้
พอเลิกเรียนฝ่ายนั้นก็รอเขาที่กำลังทำความสะอาดห้องเนื่องจากเป็นเวรประจำ วัน
แสงสว่างด้านนอกนั้นค่อย ๆ เลือนไปใกล้จะมืดเต็มทน จงอินนั่งห้อยขาเท้าคางหาววอด ๆ
อยู่บนโต๊ะของอาจารย์หน้าห้องท่ามกลางสายตาของคยองซูที่ลอบมองอยู่เป็นระยะ ๆ
“ทำไมต้องทำด้วยเนี่ย”
“ก็เป็นเวรของเรา นายก็หัดทำบ้างสิ ไม่ใช่เอาแต่โดดเรียน” พูดพลางเคาะแปรงลบกระดานอยู่ข้างหน้าต่าง
“ก็มันน่าเบื่อนี่” พูดจบก็กระโดดลงจากโต๊ะแล้วไปยืนริมหน้าต่างอีกบานติด
ๆ กัน คยองซูไม่พูดอะไรต่อ
ในใจก็เอาแต่ขบคิดไปถึงเรื่องเมื่อเช้าที่ซูจองตั้งข้อสงสัยให้เขาพลอยต้อง
มากังวลไปด้วย
วันเวลาผ่านไปพวกเขาสองคนก็สนิทกันมากขึ้นเรื่อย
ๆ คยองซูเองก็เริ่มชินเสียแล้วกับสายตาหลาย ๆ คนที่จ้องมองเขา
แม้จะผิดแผกไปจากเดิมที่มองเหมือนคนแปลกหน้าเป็นมองอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า
ทำไมอยู่ดี ๆ ร่างเล็กถึงได้มาสนิทกับกลุ่มคนพวกนี้ได้
แต่นั่นก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับคยองซูแล้ว
เขาคุ้นกับมันเสียจนเรียกได้ว่ากลายเป็นเรื่องปกติไป
จงอินก็ยังทำตัวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
ตามรับตามส่ง แถมเสาร์อาทิตย์ก็ยังจะชวนไปเที่ยวไปดูหนังบ่อย ๆ
จนตอนนี้ร่างสูงก็กลายมาเป็นสมาชิกใหม่ในบ้านของเขาอีกคนแล้ว
แถมยังเป็นลูกรักของคุณแม่ที่เอาแต่พูดชมว่าเด็กดีบ้างล่ะ หล่อบ้างล่ะ
คยองซูก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ เพียงเท่านั้น
ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันที่ไม่โกรธที่คุณแม่รักคนอื่นมากกว่าตัวเอง
ความรู้สึกที่อยู่ในใจ
คยองซูเองก็เก็บเงียบซ่อนไว้ไม่เปิดเผยออกมา แม้ลึก ๆ
จะแอบเข้าข้างตัวเองบ้างว่าจงอินก็คงรู้สึกแบบเดียวกันแต่เขาเองก็ยังไม่
อยากจะไว้ใจอะไรเท่าไหร่ ไม่อยากเจ็บ..เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ
น่าจะดีกว่าอะไรทั้งหมด
หนึ่งเทอมผ่านไปอย่างรวดเร็ว
พวกเขาเริ่มต้นเทอมใหม่ด้วยความสดใสแต่แฝงไปด้วยจิตใจห่อเหี่ยวเนื่องจาก
เด็กมัธยมปลายปีสองทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็นช่วงที่ต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือ
เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีหน้าที่ต้องเริ่มติวกันตั้งแต่ภาคเรียนนี้
นั่นจึงทำให้กิจกรรมทุกอย่างหยุดชะงักไปเหลือไว้เพียงแต่ความเคร่งเครียดที่
ต้องอ่านหนังสือและเลือกที่เรียนกันทุกคน
“มึงแน่ใจนะ?”
“เออ!” นั่นเป็นบทสนทนาระหว่างเซฮุนกับจงอินที่กำลังนั่งหันหน้าจ้องตากัน
ในมือทั้งคู่มีกระดาษแผ่นหนึ่ง
ซึ่งเป็นกระดาษที่จะตัดสินชะตาชีวิตในภายภาคหน้าว่าจะไปต่อได้ดีหรือไม่
“มึงอยากเรียนหรือจะตามพี่!”
“สองอย่างว่ะ” เด็กหนุ่มยักไหล่ตอบ
เซฮุนเป็นคนไม่ค่อยจริงจังกับอะไรมากมายซักเท่าไหร่
น้อยเรื่องนักที่เขาให้ความสนใจนั่นเป็นสิ่งที่คยองซูรับรู้ได้หลังจากที่
สนิทกันมาเทอมนึง
“แม่ง แล้วมึงล่ะชานยอล” จงอินหันไปหาอีกคนที่กำลังนั่งกัดปากกาคิดหนักอยู่ข้างเซฮุน
“แม่กูอยากให้เรียนปูซาน”
“จะไปไกลทำเหี้ยอะไร” เพื่อนอีกสามคนพูดขึ้นพร้อมเพรียงกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
นั่นทำให้คยองซูแอบขำ
“ก็แม่กูอยาก แล้วกูก็แบบอะไรก็ได้พวกมึงก็รู้” ทุกคนส่ายหน้า
ถ้าบอกว่าเซฮุนไม่จริงจังแล้ว ดูเหมือนปาร์คชานยอลจะเป็นหนักกว่า
“ส่วนกูนะจะเรียนยอนเซ”
“ถุย! ไอ้คนรวย! สอบให้ติดเหอะมึง” ทุกคนหัวเราะร่วนหลังจากจบประโยคของชานยอลที่เอ่ยแซวมุนคยูก่อนจะหันมาให้
ความสนใจกับคยองซูที่นั่งเงียบฟังคนนู้นคนนี้พูดอยู่นาน
“แล้วนายล่ะคยองซู?” จงอินรู้สึกตื่นเต้นเหลือเกินที่เซฮุนเอ่ยปากถามร่างเล็ก
เขาอยากรู้แต่ก็ไม่กล้าถามเพราะกลัวเหลือเกินกับคำตอบที่จะได้รับ
เนื่องจากตนเองหัวไม่ดีผิดกับคยองซูที่ขยันเรียนและมักจะสอบได้อันดับต้น ๆ
ของสายเสมอ และถ้าอีกฝ่ายเลือกมหาวิทยาลัยที่เกินความสามารถของเขา
ทุกสิ่งอย่างก็อาจจะพังทลายลง นั่นทำให้ร่างสูงกังวล
“เราจะเข้า...”
“โอยยย อย่างคยองซูนี่ต้องเข้ามหาวิทยาลัยโซลเท่านั้นล่ะย่ะ!”
“ยัยจุ้นเอ้ยยยยย” พูดยังไม่ทันจบเสียงของซูจองก็แว้ดเข้าสู่โสตประสาทเสียก่อน
เพื่อน ๆ ทุกคนหันไปให้ความสำคัญกับหญิงสาวหน้าตาดีที่มารวมตัวนั่งเลือกอันดับ
มหาวิทยาลัยที่จะสอบเข้าด้วยกัน
จงอินถอนหายใจพรืดฟังเสียงเพื่อนโวยวายใส่กันแล้วก็นั่งก้มหน้าก้มตา
มองกระดาษในมือก่อนจะพับเก็บใส่ใต้โต๊ะตัวเองเงียบ ๆ
เขายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรดี
และอะไรบางอย่างก็เกินความสามารถตัวเองไป...
จงอินผิดปกติไปจากเดิม
จากเป็นคนยิ้มง่ายกลายเป็นผู้ชายที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเกือบจะตลอดเวลา
ดูเครียดเหมือนมีอะไรในใจที่คิดไม่ตกพูดไม่ออก
แต่อีกฝ่ายก็ยังทำตัวกับเขาเหมือนอย่างปกติแม้คยองซูจะรับรู้จากสีหน้าและ
ท่าทางของร่างสูงที่ดูแปลก ๆ
แต่ก็ไม่กล้าถามอะไรออกไปเพราะกลัวจะไปก้าวก่ายความเป็นส่วนตัว
สนิทกันมากขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเข้าถึงจงอินได้ในทุกกรณี
“เตะบอลกันมึง”
“พวกมึงไปเหอะ เดี๋ยวกูรอคยองซู” เซฮุนไม่พูดอะไร
เขาพยักหน้าเข้าใจเพราะรู้ดีว่าจงอินคิดอะไรอยู่ อันที่จริงเพื่อน ๆ
ทุกคนรับรู้และเห็นใจแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากมายนักนอกจากคอยปลอบอย่าง ทั่ว ๆ
ไป
คล้อยหลังเพื่อนสนิท
เด็กหนุ่มก็หยิบกระดาษออกมาจากในลิ้นชักใต้โต๊ะเรียน จงอินมองอยู่อย่างนั้น
อันที่จริงเขาจะต้องส่งให้อาจารย์ที่ปรึกษาตั้งแต่สองวันที่แล้ว
แต่เพราะยังคิดไม่ออกว่าควรทำอย่างไรดีจึงได้แต่เก็บเงียบมีเพียงแค่เซฮุน
ชานยอลและมุนคยูเท่านั้นที่รู้
คยองซูกำลังเดินกลับห้องเพื่อไปเอากระเป๋าหลังจากนำกองงานของเพื่อน
ๆ ที่อาจารย์สั่งไปส่งที่ห้องพักครู
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจที่ได้ยินมาจากอาจารย์ประจำชั้นคือการให้ตามทวงเอาราย
ชื่อมหาวิทยาลัยจากจงอิน คยองซูไม่ได้สังเกตเลยว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้เขียนส่ง
จงอินอาจจะลืมหรือว่าทำหาย ไม่ก็ตกหล่น
มีหลายเหตุผลที่เป็นอย่างนั้นเพราะในขณะที่เพื่อน ๆ
ทุกคนในกลุ่มฝ่ายนั้นส่งหมดแล้วจงอินคงไม่น่าพลาดอะไร
ร่างเล็กเดินฮัมเพลงอย่างคนอารมณ์ดี
วันนี้เขาคิดจะเป็นฝ่ายชวนจงอินไปกินต๊อกโบกิร้านประจำก่อนกลับบ้าน
นั่นถือเป็นเรื่องดีในหลาย ๆ วัน เพราะช่วงนี้เขาเห็นร่างสูงเครียด ๆ
เลยคิดว่าควรจะหาเรื่องไปเปิดหูเปิดตาซะบ้างหลังจากติวหนังสือมาติด ๆ
กันเป็นอาทิตย์
ประตูห้องเรียนอยู่ห่างเพียงไม่กี่ก้าว
คยองซูรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่รับรู้อยู่เสมอว่ามีจงอินคอยรออยู่เหมือน
อย่างทุกวัน จนบางทีก็เริ่มคิดวิตกกังวลว่าหากวันใดวันหนึ่งอีกฝ่ายเบื่อขึ้นมาทุกสิ่ง
ทุกอย่างที่เคยทำก็อาจจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจ
ก็เป็นได้
แต่คนที่มองโลกในแง่ดีเฉกเช่นเขาก็มักจะสลัดมันออกไปจากหัวและคิดที่จะอยู่
กับปัจจุบันดีกว่ามัวแต่คิดมากไปต่าง ๆ นานา
ปลายเท้าชะงักกะทันหัน
จากที่เคยเดินอย่างเร่งรีบแต่ตอนนี้คยองซูรู้สึกนึกสนุกอย่างจะแกล้งคนที่
กำลังก้มหน้าก้มตาทำอะไรอยู่บนโต๊ะตัวเองนั้นให้ตกใจเล่น ๆ
และอีกใจก็อยากจะรู้ว่าจงอินนั้นทำอะไรฆ่าเวลารอเขา ร่างเล็กค่อย ๆ
ก้าวไปหยุดอยู่ข้างหลังจงอินและค่อย ๆ ชะโงกหน้าไปดูว่าอีกฝ่ายกำลังเพ่งสมาธิอยู่กับอะไร
จงอินกำลังคิดหนักอยู่กับกระดาษในมือ
เขากำลังคิดมากไปต่าง ๆ นานา คิดไม่ตกและรู้สึกเครียดจนไม่ทันสังเกตอะไรรอบข้าง
บางทีพอรู้ว่ารักมากจนไม่อาจจะถอนความรู้สึกออกมาได้นั้นก็ทำให้อะไร ๆ
กลับยากขึ้นทุกทีทั้งที่ไม่ควรจะเป็น
จงอินรู้ว่าคยองซูเองก็คงรู้สึกอะไรไม่ต่างกับเขา
แต่เพราะต่างคนต่างไม่พูดและคิดว่าทุกวันนี้ก็ดีเกินพอไม่ต้องการอะไรที่มาก
เกินไปกว่านี้พวกเขาจึงอยากจะหยุดไว้เพียงคำว่าเพื่อน...ทั้งที่ในใจมันคิด
ไปมากกว่าการเป็นเพื่อนกันแล้ว
“จงอินจะเข้ามหาวิทยาลัยโซลหรอ?” เด็กหนุ่มสะดุ้งพรวดหลังจากเสียงคยองซูดังขึ้นด้านหลัง
ร่างสูงลุกพรวดรีบเก็บกระดาษในมือซ่อนไว้ข้างหลังก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคน
น่ารักที่ยืนทำตาโตมองเขาอยู่ด้วยความสงสัย
“เอ่อ...” เขาเองก็ไม่รู้จะตอบอะไรเนื่องจากตนเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะเขียนลงไป
แต่เพราะว่ากำลังคิดเรื่องของคนตรงหน้านี่ไงใจมันเลยสั่งการให้เขียนอะไรบ้า ๆ
นั่นลงไปโดยไม่ตั้งใจ
“หืม...อย่าบอกนะว่าที่ผ่านมาเครียด ๆ เพราะกำลังคิดเรื่องนี้น่ะ?” คยองซูไม่ได้อ่านใจคนออกไปซะหมด แต่เพราะนี่คือจงอิน
และตลอดเวลาที่เราสองคนใกล้ชิดกันนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเองก็ไม่ต่าง
กับเซฮุน ชานยอลหรือมุนคยูเท่าไหร่ที่จะรู้ใจอีกฝ่าย
“เอ่อ..อืม..” สุดท้ายก็ยอมจำนนว่าตัวเองกำลังวิตก
แต่จงอินไม่ได้บอกออกไปว่าที่เขากังวลมากที่สุดคืออะไร
“อยากเข้าที่นี่หรอ?”
“อันที่จริง....เอ่อ..ช่างมันเถอะ”
“แต่...”
“นายเสร็จแล้วใช่มั้ย กลับบ้านกันดีกว่า”
และหลังจากนั้นดูเหมือนว่าทั้งสองคนก็มีใครพูดเรื่องนี้ออกมาอีกเลย
จนกระทั่ง...เวลาล่วงเลยผ่านมาปีกว่า
พวกเขาขึ้นปีสุดท้ายของมัธยมปลายได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค
และความสนิทกันระหว่างคยองซูกับจงอินเหมือนจะมีอะไรบาง ๆ
กั้นกลางเอาไว้เหมือนอย่างที่ผ่านมา
หลายเดือนมานี้ทั้งสองไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนปกติ เพราะคยองซูมีติวหนังสือ
ส่วนจงอินไม่ได้บอกว่าไปไหนหลังเลิกเรียน
แถมทำตัวมีพิรุธจนคยองซูเองอยากรู้ถึงขนาดต้องเข้าไปถามเพื่อน ๆ
อีกสามคนของฝ่ายนั้นจนได้ใจความว่า
“ใกล้สอบแล้ว ช่วงนี้มันเลยไปติวหนังสือกับรุ่นพี่” ดูเหมือนว่าจงอินจะอยากเข้ามหาวิทยาลัยโซลจริง
ๆ เพราะไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายก็คงจะไม่ดูตั้งใจอะไรมากขนาดนี้
และแล้วก็ถึงวันประกาศผลสอบ...
ช่วงสอบนั้นจงอินพบว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เขาไม่ค่อยถนัดเรื่อง
วิชาการหรืออะไรที่เกินความสามารถของตนเองนั้นเป็นเรื่องที่เขาต้องยอมพ่าย แพ้
ร่างสูงอยากจะหวังแต่กลับท้อเพราะการที่เขาไปติวหนังสือกับรุ่นพี่ที่ผ่านมา
นั้นดูเหมือนจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย หลังจากทำข้อสอบเสร็จ
เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้
ท่าทางหมดอาลัยตายอยากนั่นทำให้หลายคนมองอย่างรู้สึกแย่ไปด้วย
ในมือจงอินกำกระดาษบางอย่างแน่นก่อนจะก้มหน้าลงขยี้ผมตัวเองด้วยความหงุด หงิดในใจ
เขาสอบไม่ติด....
และที่เลวร้ายกว่านั้นคือ....
“คยองซูได้ที่เรียนเป็นคนแรกของห้องเราเลย!” นั่นเป็นเสียงของซูจอง
ผู้หญิงปีศาจที่ทำให้อารมณ์ของเขาขุ่นมัวเพิ่มมากกว่าเดิม...
“มึงควรสอบที่เดียวกับกูนะ อย่างน้อยก็ลองดูก่อน
ความรู้ที่ไปติวมาต้องได้ผลบ้างดิวะ” นั่นเป็นเสียงเซฮุน
หนึ่งในเพื่อนที่ยังไม่ได้ที่เรียนเนื่องจากมหาวิทยาลัยที่อีกฝ่ายจะเข้ายัง
ไม่เปิดสอบตรง
ส่วนมุนคยูและปาร์คชานยอลคงจะสมัครเข้ามหาวิทยาลัยเอกชนซึ่งนั่นไม่จำเป็น
ต้องสอบก็ได้
“อืม...”
“เฮ้ย! เอาน่า แค่ไม่ได้เรียนที่เดียวกัน ทำอย่างกับว่ามึงจะไม่เจอคยองซูอีกแล้วนั่นล่ะ”
ชานยอลให้กำลังใจเพื่อนด้วยการตบบ่าแรง ๆ
เพื่อให้จงอินหายจากอาการซึมเศร้า
“ใช่ มึงควรใช้เวลาต่อจากนี้ให้มีค่านะเว่ย อีกเดือนนึงก็จะจบแล้ว
ร่าเริงเข้าไว้เพื่อน” สิ้นคำพูดของมุนคยูเพื่อนที่เหลือก็ต่างพยักหน้าขันแข็งในขณะที่จงอินมองทุก
คนแล้วก็ก้มหน้าหลับตาพยายามยอมรับอะไรหลาย ๆ อย่างให้ได้หลังจากนี้
และแล้วก็ถึงวันสุดท้ายของการเรียนมัธยมปลาย...
ก่อนหน้านั้นจงอินและเซฮุนได้รับข่าวดีจากทางมหาวิทยาลัยซองคยูนกวาน
เพื่อน ๆ ก็ต่างมาแสดงความยินดีด้วย แต่ไม่รู้ทำไมจงอินถึงดูไม่ค่อยร่าเริงผิดกับเซฮุนที่พอรู้ว่าสอบติดก็ทำท่า
เหมือนถูกรางวัลที่หนึ่ง อันที่จริงคนผิดปกติคงจะเป็นจงอินเสียมากกว่า
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พวกเขาจะได้เจอกัน
พวกผู้หญิงบ่อน้ำตาตื้นกอดคอกันร้องไห้ทำอย่างกับจะไม่ได้เจอกันอีกทั้ง ๆ
ที่ส่วนใหญ่ก็ได้เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันแถมยังคณะเดียวกันอีกด้วย
ผิดกับเด็กผู้ชายที่กำลังวางแผนไปเที่ยวหลังจากนี้อย่างร่าเริง
มุนคยูถูกเด็กผู้หญิงข้างห้องเรียกออกไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้วก็ยังไม่ กลับมา
ฝ่ายนั้นคงจะถูกสารภาพรักและผู้หญิงคนนั้นก็ดันเป็นคนเดียวกับที่เพื่อนเขา พูดอยู่บ่อย
ๆ ว่าชอบเธอ... เซฮุนกับชานยอลถูกนักเรียนรุ่นน้องรุมล้อมอยู่แถวสนามฟุตบอล
บางคนถึงกับร้องไห้ที่ทั้งคู่จะต้องจบการศึกษาไปวันนี้พวกเธอก็เลยใช้โอกาส
นี้ขอกระดุมเม็ดที่สองจากเพื่อนของเขา แต่ก็ไม่มีใครได้ไป
ปาร์คชานยอลไม่ได้ให้เหตุผล ฝ่ายนั้นมักจะเอาตัวรอดได้ดี และถ้าจะสังเกตดี ๆ
กระดุมเม็ดที่สองของเซฮุนหายไปตั้งแต่เช้าในตอนที่พี่ชายข้างบ้านของหมอนั่น
มาแสดงความยินดีที่โรงเรียน....
จงอินกำลังนั่งมองคยองซูพูดคุยอยู่กับเพื่อน
ๆ ด้วยความรู้สึกแห้งเหี่ยว
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะได้มีโอกาสอยู่กับร่างเล็กในฐานะเพื่อนร่วม ชั้น
รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก และถึงแม้ว่ายังไงเราสองคนก็อาจจะได้เจอกัน โทรคุยกัน
แต่ก็ไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป จงอินกำลังรู้สึกหมดหวังกับอะไรบางอย่าง
เขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าคืออะไร
“จงอิน...” เพราะเห็นร่างสูงนั่งทำหน้าเบื่อ ๆ
ก็เลยปลีกตัวจากเพื่อน ๆ มาหา
คยองซูมองหน้าผู้ชายที่เขาแอบชอบมาตลอดสามปีตั้งแต่ได้เข้ามาเรียนห้องเดียว
กันด้วยความชื่นชม จงอินเป็นคนหน้าตาดี บุคลิกดี ทุกอย่างลงตัวไปหมดจึงทำให้สาว ๆ
คอยตามกรี๊ดตลอด แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมช่วงหลัง ๆ
ที่ตนเองเข้ามาสนิทด้วยกับกลุ่มอีกฝ่าย สาว ๆ ที่เคยมาสารภาพรักบ่อย ๆ กลับค่อย ๆ
หายไปทีละคน แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่คยองซูจำเป็นจะต้องใส่ใจ
“ไม่เบื่อหรอมานั่งคนเดียว ไปถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ กัน”
“ไม่เอาอ่ะ” คยองซูย่นจมูกใส่คนดื้อรั้นก่อนจะตัดสินใจนั่งลงข้าง
ๆ จงอิน
“วันนี้จะไปไหนกัน เห็นมุนคยูบอกว่าจองห้องคาราโอเกะไว้”
“จองไว้ แต่คงต้องยกเลิก ท่าทางหมอนั่นคงจะอยากมีเวลาส่วนตัว”
“อ่า...นั่นสิเนอะ...” คยองซูนั่งห้อยขาอยู่ข้างจงอิน
พวกเขากำลังนั่งมองเพื่อน ๆ
ที่พูดคุยกันกลางสนามฟุตบอลพยายามซึมซับบรรยากาศเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่า
ที่จะจำได้
“ต่อจากนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้...” เพราะพอพวกเราต่างก็แยกย้ายกันไปเรียนในที่ที่เป็นดั่งความฝัน
ความรู้สึกของการใช้ชีวิตมัธยมปลายก็จะค่อย ๆ จางหาย
มหาวิทยาลัยไม่ได้มีเพื่อนที่จะคอยช่วยเหลือตลอดเวลาเสมอไป
พวกเขาต้องเจอเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ ๆ และพอเริ่มเติบโตขึ้น อะไรหลาย ๆ
อย่างก็อาจจะมีบ้างที่ค่อย ๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา
“ไม่อยากเรียนจบเลย...” เด็กหนุ่มถอนหายใจหลังจากคยองซูพูดจบ
แขนทั้งสองข้างของจงอินวางเท้าไว้ด้านหลังในขณะที่คยองซูตั้งแขนไว้ข้างตัว
ดวงตาคมลอบมองใบหน้าน่ารักจากด้านข้าง ริมฝีปากคยองซูกำลังเม้มเข้าหากันแน่น
ส่วนแก้มใสก็พองลมนิดหน่อยคล้ายกำลังครุ่นคิดเสียดายกับอะไรบางอย่าง
จงอินกำลังรู้สึกว่าเขาควรจะบอกความในใจออกไปก่อนที่อะไรจะสายไป..
“คยองซู...”
“หืม...?” แต่พออีกฝ่ายหันมาทำตาโตใส่อย่างน่ารักน่าชัง
เขาก็กลับอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่อย่างนั้น...
“ฉัน...” จงอินพูดไม่ออก พอถึงเวลาจริง ๆ
เขากลับไม่อยากให้คำว่ารักมาทำลายความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ลง แน่นอนว่าเขาขี้ขลาด
แต่เพราะการที่เรายังเป็นอยู่แบบนี้ ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลยซักนิดเดียว
“นี่! พวกนายสองคนน่ะ หันมาทางนี้หน่อยสิ” นั่นเป็นเสียงของซูจองที่ตะโกนขัดจังหวะขึ้นมา
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จงอินรู้สึกอยากจะเดินเข้าไปขอบคุณเธอ
“จงอิน...” ระหว่างที่ซูจองกำลังจัดการกับกล้องโพลารอยด์ของเธอ
คยองซูก็เรียกร่างสูงข้างกายเบา ๆ
“หืม...?”
“ถ้าเจอกันคราวหน้าฉันมีอะไรจะบอก...”
“บอกเลยไม่ได้หรอ?” คยองซูหันไปยิ้มบาง ๆ
ให้จงอินแล้วสั่นศีรษะ เสียงซูจองโหวกเหวกอยู่ข้างหน้า เพื่อน ๆหลายคนต่างก็มองมาที่พวกเขา
แต่สิ่งที่คยองซูและจงอินสนใจก็คือกันและกัน
ทั้งคู่ขยับเข้าใกล้กันมากขึ้นจนมือที่วางอยู่ข้างกันนั้นทับซ้อนลงไปอย่าง
ไม่ได้ตั้งใจ
“นับหนึ่งถึงสามแล้วยิ้มกว้าง ๆ เลยนะ! 1 2 3!!”
ภาพถ่ายของทั้งคู่ที่กำลังนั่งเอียงศีรษะเข้าหากันพร้อมชูสองนิ้วด้วยใบ
หน้ายิ้มแย้มนั้นจงอินเป็นคนเก็บเอาไว้
เขาหยิบขึ้นมามองทุกทีที่คิดถึงบรรยากาศนั้น
และยิ่งเวลาผ่านมาเกือบจะเข้าเดือนที่สามที่เขาไม่ได้เจอกับคยองซูด้วยแล้ว
ก็ยิ่งทำให้เขาหยิบมามองถี่ขึ้นทุกวันจนคนรอบกายต้องเอ่ยปากทัก
ระยะเวลาหลังจากเรียนจบจงอินก็ไม่ได้เจอกับคยองซูเลยเนื่องจากเขาเองก็
ต้องเตรียมตัวเข้าเรียนในขณะที่ฝ่ายนั้นก็กำลังยุ่งอยู่เช่นกัน
พวกเขาไม่ได้ติดต่อกันเลยจนกระทั่งวันเปิดเรียนวันแรกของการใช้ชีวิต
มหาวิทยาลัยมาถึง....
จงอินเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสนิท
เขารอเซฮุนมานานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วหมอนั่นก็ยังไม่โผล่มาซักทีจนอีกฝ่าย
โทรมาบอกว่าให้ไปเจอที่หน้าตึกคณะ
ร่างสูงเลยต้องเดินเข้าไปคนเดียวทั้งที่ไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาเท่าไหร่
เนื่องจากยังไม่ชินกับบรรยากาศแบบนี้
เด็กหนุ่มเดินผ่านผู้คนมากมายที่กำลังมองมาที่ตัวเองอย่างสนอกสนใจและพอเขา
เดินมาถึงหน้าตึกที่เซฮุนบอกเอาไว้กลับไม่เจอเพื่อนตัวดี
จงอินรู้สึกหัวเสียนิดหน่อยและก่อนที่จะกดโทรศัพท์ไปโวยวาย
ใครบางคนก็มาดึงมือถือราคาแพงออกไปจากมือของเขา
“คยองซู...” ฝ่ายนั้นยืนยิ้มกว้างมาให้นั่นแทบจะทำให้จงอินอยากจะกระชากเข้ามากอดแรง
ๆ ให้หายจากอาการคิดถึง...
.
.
.
“ไม่น่าเชื่อว่านายก็เป็นไปกับพวกนั้นด้วย...” นั่นเป็นคำพูดของจงอินหลังจากที่คยองซูถูกรบเร้าให้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
ตั้งแต่การเข้าใจผิดของทุกคนที่คิดว่าคยองซูจะเข้ามหาวิทยาลัยโซลจนถึง
เรื่องสุดท้ายที่ทั้งคู่ได้มาเจอกันที่นี่
คยองซูไม่ได้หลอกใครเพียงแต่เขาไม่ได้พูดตั้งแต่แรกว่าตนเองจะเข้าเรียน
ที่ซองคยูนกวาน
แล้วพอรู้ว่าจงอินจะเรียนมหาวิทยาลัยโซลก็เกิดอาการเสียใจนิดหน่อยที่เรา
ทั้งคู่จะต้องแยกย้ายกัน
แต่พอหลังจากที่รู้ว่าอีกฝ่ายผิดหวังและสอบเข้าเรียนที่เดียวกับตนเองคยองซู
ก็แค่อยากจะเก็บเอาไว้เซอร์ไพรซ์ในครั้งหน้าที่เราเจอกัน
หลังจากนั้นก็เป็นแผนของเพื่อนฝ่ายนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตนเองเลย
“พวกนั้นก็แค่หวังดีนี่นา..” พูดไปก็ยิ้มไปนั่นทำให้จงอินมีความสุขเกินกว่าจะบรรยายออกมา
“เรื่องนี้ใช่หรือเปล่า ที่อยากจะบอกฉัน” คยองซูเงยหน้าขึ้นมองคนข้างกายเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าหลบตาแล้วพึมพำเบา
ๆ ซึ่งประโยคเหล่านั้นจงอินได้ยินทั้งหมด
“นึกว่าจะลืมไปแล้วซะอีก” จงอินกำลังรู้สึกว่าโลกทั้งใบของเขากำลังมีเพียงแค่คยองซูคนเดียวที่อาศัย
อยู่ ช่วงเวลานี้แค่คำว่าสุขใจคงไม่เพียงพอ
เขายิ้มจนแก้มจะแตกในขณะที่คยองซูเองก็ดูเหมือนจะมีความสุขมากกว่าทุกที
พวกเขานั่งอยู่บนผืนหญ้าข้างหน้าเป็นสระน้ำใหญ่ของมหาวิทยาลัย
บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบมีแต่กลุ่มนักศึกษาสองสามกลุ่มเท่านั้นที่นั่งพูด คุยกัน
ทั้งจงอินและคยองซูต่างก็แลกเปลี่ยนเรื่องราวในระหว่างที่เขาทั้งคู่ไม่ได้ เจอกัน
นั่นคือช่วงเวลาดี ๆ ที่จงอินคิดถึงมาตลอด
“จงอิน...”
“หืม?”
“รู้มั้ย...ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันเกลียดคำว่าเพื่อนของเราจัง...” จงอินเงียบไปครู่หนึ่งหลังจากประโยคนั้นหลุดออกมาจากปากของคยองซู เขาคิดมาตลอดว่าเราทั้งคู่ใจตรงกัน
แต่ที่ไม่อยากจะสารภาพรักออกไปเพราะความเป็นเพื่อนเป็นเหตุผลที่เขาอยากจะ
เก็บรักษาเอาไว้
จงอินคิดเสมอว่าเราดีต่อกันในขณะที่เราเป็นเพื่อนแม้เราห่างกันเราก็สามารถ
คุยกันได้ในฐานะเพื่อน แต่ถ้าเราเลื่อนขั้นเป็นคนรักความห่างไกลอาจจะทำให้ความสัมพันธ์ของเราจบลง
โดยที่ไม่เหลือความรู้สึกดี ๆ แต่เขาคิดผิดมาตลอด
เพราะช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกับอีกฝ่าย จงอินรู้สึกว่าเขาไม่มีความสุข
และรู้สึกเสียดาย ที่วันนั้นไม่ได้สารภาพความในใจบางอย่างออกไป...
วันนี้เขาพร้อมจะแก้ตัว...ถึงแม้สุดท้ายแล้วเราอาจจะต้องเลิกรากัน
แต่อย่างน้อยความรู้สึกในช่วงที่เรารักกัน
คงทำให้เขาได้รับความสุขมากกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย...
“แล้ว...อยากเป็นมากกว่าเพื่อนหรือเปล่าล่ะ?” ทั้ง ๆ
ที่ตัวเองเป็นคนพูดเองแท้ ๆ แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเขินจนทำอะไรไม่ถูก
จงอินหันหน้าไปด้านข้างแล้วเกาท้ายทอยแก้เขิน
ทุกสิ่งที่อยู่รอบกายพากันเป็นใจให้เกิดความเงียบขึ้นเพื่อสร้างบรรยากาศดี ๆ
ให้กับคนทั้งสอง คยองซูก้มหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะค่อย ๆ
เอียงศีรษะไปซบกับลาดไหล่ของคนข้างกายเพื่อยืนยันบางสิ่งที่เขาพร้อมจะพูด
ออกไปถ้าอีกฝ่ายต้องการ
“อื้ม..” เพียงแค่นั้น เรื่องราวของคนทั้งคู่ก็เริ่มเดินทางใหม่อีกครั้ง
แม้จะดูเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน
เพราะจงอินเองก็ยังเป็นจงอินที่คอยดูแลเอาใจใส่คยองซูอยู่ทุกเมื่อ
ในขณะที่คยองซูเองก็รักและไว้ใจอีกฝ่ายเหมือนอย่างเดิม จะมีก็เพียงแต่คำว่ารัก
ที่คนทั้งสองพร่ำพูดให้กันตั้งแต่ตื่นนอนจวบจนกระทั่งในช่วงก่อนที่กำลังจะ
เข้าสู่ห้วงนิทรา แม้จะไม่ได้หวานเหมือนคู่รักคู่อื่น
แต่จงอินกับคยองซูก็เป็นคู่รักที่ทำให้หลายคนอิจฉาได้เสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลง
END.
No comments:
Post a Comment