Friday, September 19, 2014

Melodies Of Love

Alone for a while I've been searching through the dark
For traces of the love you left inside my lonely heart
To weave by picking up the pieces that remain
Melodies of life love's lost refrain


ถ้าคนเราสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีตได้เหมือนในหนังหรือนิยายไซไฟพวกนั้นได้จริงๆ ก็คงดี...
ผม ไม่สนใจหรอกว่าจุดจบของเรื่องราวที่อาจจะได้พบในอนาคตจะเลวร้ายหรือกลายเป็น โศกนาฏกรรมอย่างที่ Butterfly Effect พยายามแสดงให้เห็นหรือเปล่า

มนุษย์นิสัยไม่ดีอย่างผม... หวังก็แค่... ขอได้ละเลียดกลิ่นอายแห่งความสุขของช่วงเวลานั้นให้นานขึ้น... แค่สักนิดก็ยังดี


Our paths they did cross, though I cannot say just why
We met, we laughed, we held on fast, and then we said goodbye


เสียง โหวกเหวกโวยวายเพราะไมค์หลายตัวทั้งดังประสานทั้งขัดจังหวะกันเองภายในห้อง คาราโอเกะขนาดใหญ่ซึ่งบรรจะกลุ่มคนจำนวนสิบกว่าชีวิตทั้งหญิงและชายที่ต่าง ฝ่ายก็ต่างดูจะมีกิจกรรมจับกลุ่มเล็กๆ ทั้งเสวนาถามสารทุกข์สุกดิบบ้าง เชียร์เพื่อนให้ร้องเพลงที่ตัวเองเพิ่งแรนดอมเลือกมามั่วๆ จนสุดท้ายก็กลายเป็นเพลงลูกทุ่งเมื่อสิบปีที่แล้วบ้าง หรือตั้งหน้าตั้งตาคว้าอาหารบนโต๊ะกลางเข้าปากบ้าง

แต่ 'โดคยองซู' ก็ไม่ได้มีแก่ใจจะสนนักแม้ ริมฝีปากรูปกระจับจะแย้มรอยยิ้มให้เพื่อนสาวที่ลุกมานั่งข้างๆ เพื่อเริ่มบทสนทนาที่คยองซูรู้สึกว่ามันไร้สาระ เพราะหลังจากเสร็จสิ้น 'งานพบปะสังสรรค์ประจำรุ่น' ในวันนี้ไป พวกเขาก็จะกลับกลายเป็นผู้คนที่ผ่านเลย...ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องให้ติดต่อ กันอยู่ดี

"ผอมลงไปเยอะเลย... เป็นไงบ้าง ฉันได้ข่าวว่านายเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการจนแทบไม่มีเวลาว่างเลยเหรอ"เรียวคิ้วของโดคยองซูกระตุกเล็กน้อย น้ำเสียงอ่อนโยนเจือความห่วงใยของเพื่อนสาวสมัยมหาวิทยาลัยไม่ใช่สิ่งที่เขา คาดหวังว่าจะได้ยิน เพราะเท่าที่จำได้คอยงซูไม่เคยเสวนากับเพื่อนเก่าหน้าไหนเรื่องบริษัทส่งออก ที่เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะพาตัวเองขึ้นมานั่งในตำแหน่ง 'ผู้จัดการฝ่ายส่งออก' ที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเข้าร่วมงานแสดงสินค้าและดูแลรับรองลูกค้า ระดับสูงจากต่างประเทศจนแทบจะกลายเป็นส่วนหนึงของชีวิต... ความลำบากเพื่อความก้าวหน้าของเขาไม่เคยหลุดผ่านริมฝีปากที่มักเปื้อนด้วย รอยยิ้มของโดคยองซูแม้แต่คำเดียว

เพราะเขาไม่ชอบ... ไม่สิ คยองซูรังเกลียดความสงสาร เกลียดชังความเห็นใจ
เขาไม่ชอบการตกเป็น 'คนน่าสงสาร' ในสายตาใครแม้แต่คนใกล้ตัว

"ไม่ เหนื่อยสักนิด สนุกออก สนุกท้าทายจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นเลยด้วยซ้ำ"... ใช่... เหนื่อยสายตัวแทบขาดจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น... ไม่มีเวลาแม้แต่จะดูแลสุขภาพ... ไม่มีเวลาดำรงชีวิตของตัวเองด้วยซ้ำ

โด คยองซูไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมเขาถึงยิ่งไม่ชอบใจรอยยิ้มแสดงความห่วงใยที่ ดูจะเพิ่มมากขึ้นของเพื่อนสาว ยิ่งมือบางวางทาบก่อนจะกุมหลังมือของเขาเอาไว้อย่างแผ่วเบา ดวงหน้าจืดชืดเหมือนผู้คนที่พร้อมจะกลืนหายไปท่ามกลางมวลหมู่มนุษย์บนท้อง ถนนแสดงอาการครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนตัดสินใจเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงแผ่วเบา

"รู้ข่าวเรื่องจงอินจะแต่งงานหรือยัง..."


In my dearest memories, I see you reaching out to me
Though you're gone, I still believe that you can call out my name


'ดโยๆ...... นี่ อาทิตย์หน้ามาดริดมาเตะกระชับมิตรกับทีมชาติแหละ ไปดูด้วยกันนะ' ดวงหน้าเล็กมนของโดคยองซูค่อยๆ ตวัดหันไปมองเจ้าของใบหน้าคมเข้มที่ถือวิสาสะกระโดดเข้ามาตวัดแขนกอดรัดร่าง ของเขาจากเบื้องหลังพลางวางเรียวคางบุ๋มเอาไว้บนหัวไหล่เล็กๆ อย่างเป็นธรรมชาติ...มากเกินไป ราวกับไม่ใส่ว่าจะอยู่บนทางเดินเชื่อมระหว่างตึกเรียนที่มีผู้คนสัญจรกัน เต็มไปหมด

ถึงจะยอมเอ่ยปากยอม 'คบ' ด้วย แต่คยองซูก็ไม่ชอบให้อีกฝ่ายทำอะไรประเจิดประเจ้อในที่สาธารณะ ไม่ใช่เพราะ...อาย เขาไม่อายหรอก ถ้าคิมจงอินจะรวยกว่านี้ เรียนเก่งกว่านี้ หรือหน้าตาดีกว่านี้สักหน่อย ที่สำคัญ... เจ้าหมอนี่ทั้งขีแย ขี้โวยวาย งอนง่าย-หายเร็ว... นิสัย 'เด็ก' เกินกว่าจะให้เขา 'พึ่งพา' เหมือนแฟนเพื่อนคนอื่นๆ จนคยองซูก็ไม่รู้จะเอา 'ข้อดี' อะไรของจงอินไปเปรียบเทียบในบทสนทนายามบ่ายแสนน่าเบื่อกับเพื่อนคนอื่นๆ ได้แม้แต่เรื่องเดียว

น่ารำคาญเป็นบ้า

"...ก็ได้..." ถึ หน้าตาจะไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนคำตอบรับแกนๆ พร้อมพองแก้มนิดๆ ของคยองซูจะทำให้จงอินมีความสุขใช้ริมฝีปากอิ่มกับปลายจมูกฉกฉวยสัมผัสนุ่มๆ จากพวงแก้มของเขาไปอย่างรวดเร็ว ลำแขนแข็งแรงกอดรัดเอวบางๆ ของคนตัวเล็กกว่าแน่นขึ้น ในขณะที่เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบแผ่วเบากับใบหู

"รักดโยที่สุดเลย รู้ใช่มั้ย"


A voice from the past, joining yours and mine
Adding up the layers of harmony
And so it goes, on and on...


เพราะคยองซูไม่ดูบอล... เขาจึงไม่รู้สึกเลยว่ามันคุ้มค่ากับการมานั่งตากแดดบนอัฒจัณฑ์ตั้งแต่บ่ายสาม โมงที่แสงอาทิตย์ทั้งแสบร้อนและไม่ปรานีกับผิวและดวงตาเลยสักนิด เพียงเพื่อจะรอดู 'บอลกระชับมิตร' ปัญญาอ่อนที่ไม่ได้ส่งผลให้ทีมชาติเกาลีใต้ได้แชมป์ฟุตบอลโลกหรือ เอเชี่ยนคัพกับทีมฟุตบอลยักษ์ใหญ่จากสเปนที่คยองซูไม่เห็นจะรู้จักตัวนักเตะ เลยสักคน

แต่จงอินที่ทั้งนั่งกางร่มทั้งเอาเสื้อแจ็กเก็ตของตัว เองมาคลุมหัวให้เขา ทั้งวิ่งวุ่นวายไปซื้อน้ำซื้อขนมมาให้กลับดูมีความสุขจนคยองซูสงสัยว่า... จงอินลืมไปแล้วแน่ๆ ว่าตอนนี้ผิวที่สีเข้มอยู่แล้วจะเริ่มไหม้จนแทบเกรียมเพราะคนตัวสูงกว่าเอา แต่พยายามบังให้คยองซูอยู่ใต้ร่ม คยองซูเลยขี้เกียจจะบ่น

เขาแค่เฝ้ามองการส่งเสียงร้องเชียร์อย่างตื่นเต้นเป็นเด็กๆ ของ 'เด็กโข่ง' ข้างกาย... ตลกเป็นบ้า เขาแทบขำพรืดออกมาเพราะมองเห็นดวงตาสีดำสนิทของจงอินมีหยาดน้ำใสๆ รื้นออกมาเพียงแค่เสียงเพลงชาติก่อนลงสนามดังขึ้น

เด็กเอ๊ย... ฉันล่ะอายจริงๆ ที่มีแฟนเป็นคนแบบนาย...

ในตอนนั้นคยองซูคิดอย่างนั้นจริงๆ เพราะ เขามัวแต่นึกเปรียบเทียบแต่ 'ข้อเสีย' มากมายของจงอินเมื่อเทียบกับบรรดา 'แฟน' ที่ดูเหมือนจะ 'ดีกว่า' ของเพื่อนๆ จนลืมนึกไปว่า... เมื่อหยาดฝนเริ่มหลั่งรินลงมาหลังแมตช์ฟุตบอลกระชับมิตรในวันนั้นจบลงท่าม กลางผลเสมอ 0-0 นั้น... ฝ่ามือของจงอินที่จับจูงเขาผ่านฝูงชนจำนวนมหาศาลออกจากสนามไปนั้น...อบอุ่นแค่ไหน


So far and away, see the bird as it flies by
Gliding through the shadows of the clouds up in the sky


คยองซูบอกตัวเองว่าเขาจำไมไ่ด้แล้วว่าความประทับใจแรกในตัวจนอินอยู่ตรงไหน แต่เมื่อกลับมาย้อนคิดดูอีกที... คงเป็นที่ 'รอยยิ้มน่ารักๆ' นั่นล่ะมั้ง

'เล็กซัสน่ะสิ... อุตส่าห์ห้ามแล้วแท้ๆ บอกไม่ให้ซื้อๆ หมอนั่นก็ดื้อแพ่งถอยออกมาจนได้' โดคยองซูไม่แน่ใจว่ารอยยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะของเขาในตอนนั้นมัน 'เฟค' แค่ไหน ที่แน่ๆ มันคงแนบเนียนพอจะทำให้บทสนทนาเริ่มต่อไปได้อย่างไม่ติดขัด

เล็กซัสคันใหม่ป้ายแดงอาจไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิต แต่โดคยองซูก็อดหงุดหงิดไม่ได้เมื่อมือกร้านของจงอินจับจูงเขาเดินตรงไปยังป้ายรถเมล์ข้างมหาวิทยาลัยในแบบเดิมๆ เหมือนทุกวัน

จงอินต้องไปซ้อมเต้นที่สตูดิโอ ส่วนคยองซูก็ไปทำงานพิเศษฆ่าเวลาที่คอฟฟี่ช้อปข้างๆ แบบแผนชีวิตของพวกเขาทั้งเรียบง่ายและน่าเบื่อ

แม้จงอินจะมีความฝัน แต่คยองซูก็รู้ดีว่าคนตัวหนารู้แก่ใจว่า... ไม่ว่าเมื่อไหร่ 'ความฝัน' ก็จะเป็นเพียงแค่ 'ฝัน'
ไม่ อย่างนั้นจงอินคงไม่เลือกเรียนวิศวกรรมโยธา... ไม่เลือกเบนเข็มไปยังหนึ่งในสิบอาชีพที่หางานง่ายที่สุดในสังคมของประเทศแสน น่าเบื่อแห่งนี้หรอก

ในตอนนั้นคยองซูไม่ได้คิดอะไร...
และจงอินก็เลือกจะเก็บเงียบเอาไว้ในใจ

โด คยองซูจึงไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้ว่า... จงอินเลือกจะทิ้ง 'ความฝัน' เอาไว้เบื้องหลังและมุ่งหน้าสู่ 'ความเป็นจริง' ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่ต้องการให้เขาลำบาก...

ในสังคมคอน เซอร์เวทีฟอย่างเกาหลีใต้... สกินชิพระหว่างเพื่อนผู้ชายอาจไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เมือความสัมพันธ์พัฒนาไปไกลเกินกว่านั้น... แน่นอนว่าความยาำกลำบากมากมายจะต้องถาโถมเข้ามา
และจงอินก็ไม่ต้องการให้คยองซูต้องเจ็บปวดเพราะความโหดร้ายของสังคมแบบนั้น

เด็กผู้ชายที่คิดอะไรง่ายๆ และเป็นเส้นตรงอย่างคิมจงอินรู้เพียงว่าเขาอยากทำงานที่มีหน้ามีตาและได้ค่า แรงที่มากเกินพอจะให้ใครต่อใครเข้ามามีบทบาทในชีวิต

เพราะจงอินแค่อยากให้คนที่เขารักมีความสุข
แม้จะเป็นเพียงแค่ความคิดแบบเด็กๆ แต่จงอินก็พยายามอย่างเต็มที่

ดังนั้นพอมองย้อนกลับไปในตอนนี้... คยองซูจึงอดคิดไม่ได้ว่า...
บางทีเขาอาจจะเป็นมนุษย์หน้าโง่ที่สุดในโลกก็ำได้


I've laid my memories and dreams upon those wings
Leave them now and see what tomorrow brings


เพราะคยองซูไม่ใช่คนฉลาดนัก การเรียนให้ติดท็อปตลอดของเขาจึงต้องแลกมากับความเหนื่อยยากและความเครียดที่กัดกินไปถึงขั้วสมอง ไม่แปลกเลยที่คยองซูจะหงุดหงิดง่าย...โดยเฉพาะเมื่อคะแนนที่ออกมาไม่เป็นไปตามความหวังที่มันควรจะเป็น

เพียง แต่... เบื้องหน้าคนที่คนตัวเล็กขีดเส้นให้เป็นแค่ 'คนรู้จัก' เขามักไม่เคยแสดงด้าน 'มืดมน' ออกมาให้เห็น โดคยองซูที่ทุกคนคุ้นชินจึงมักแย้มรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนอยู่เสมอจนทุกคนลืม นึกไปว่า... คนตรงหน้านี้ก็ไม่ได้มี 'ความสุข' แค่เพียงอย่างเดียว

ตลกเป็นบ้า... ที่คยองซูในตอนนั้นไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่า...
หนึ่งในคนจำนวนน้อยนิดที่ได้สัมผัสกับ 'ตัวตน' ที่แท้จริงของเขา
มีคิมจงอินคนนั้นรวมอยู่ด้วย

"ดโย... พักก่อนเถอะ ไปกินข้าวกันนะ"

สัมผัส แผ่วเบาวางลงบนหัวไหล่ เพียงแต่คยองซูคิดว่ามันไร้สาระเกินกว่าที่เขาควรจะปลีกเวลาจากการวิเคราะห์ ความผิดพลาดของโจทย์ตรงหน้าไปมองใบหน้างี่เง่าของคนเป็นเจ้าของฝ่ามือข้าง นั้นคยองซูพยายามข่มความรำคาญเอ่ยปฏิเสธออกมาเป็นเสียงแผ่วเบา

"เรายังไม่หิว จงอินไปกินก่อนเถอะ"

"แต่ดโยยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เช้าไม่ใช่เหรอ... นี่จะบ่ายสามแล้วนะ เดี๋ยวปวดท้องหรอก"

อาจ จะเป็นเพราะฝ่ามือกร้านบีบเข้าที่ไหล่แรงเกินไป หรือน้ำเสียงห่วงใยชวนอาเจียนที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาเลยสักนิด... คนตัวบางจึงรู้สึกว่าเขาหงุดหงิดเป็นบ้าดวงหน้าเล็กๆ สะบัดหันไปจ้องใบหน้าคม ก่อนกระชากมือของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็น 'แฟน' ออกจากหัวไหล่ของตัวเองอย่างแรง

"บอกว่าไม่กินก็ไม่กิน หูหนวกเหรอ! เลิกเซ้าซี้ซะทีเถอะน่า รำคาญ!!!"

คยองซูจำได้ว่าใบหน้าของจงอินในตอนนั้นเผือดซีดแต่คนตัวสูงกว่าก็ยังมีแก่ใจพยายามจะแย้มรอยยิ้มเจื่อนๆ ให้คยองซูก่อนก้มหัวแล้วหันหลังเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ

คยองซูไม่รู้หรอกว่าวันนั้นจงอินกินอะไรรู้ แค่ว่ากว่าเขาจะย่างก้าวออกมาจากห้องนอนเอาตอนห้าโมงกว่าก็มีข้าวปั้นจากคอน วีเนียนวางอยู่หน้าประตูห้อง...เพราะในตู้เย็นไม่มีอะไรที่กินได้เลยสัก อย่าง พร้อมกับการหายตัวไปของคิมจงอิน...ที่กว่าจะพาตัวเองกลับมาให้คยองซูได้ ค่อยๆ เดินเข้าไปกอด...ก็กินเวลาไปเกือบค่อนคืนแล้วใบหน้าของจงอินในตอนแรกดูซีดเซียว เพียงแต่ไม่นาน... รอยยิ้มก็ระบายขึ้นเหนือริมฝีปากอิ่ม

จงอินบอกว่า 'รัก' คยองซูอีกครั้ง
ในขณะที่ตัวเขา...
คยองซูจำไม่ได้แล้วว่าเขาเคยพูดคำว่า 'รัก' ให้จงอินฟังหรือเปล่า


In your dearest memories, do you remember loving me?
Was it fate that brought us close and now leaves me behind?


มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่ประหลาด...เพราะมนุษย์มักมองเห็นความสำคัญของสิ่งหนึ่งสิ่งใด... เอาก็ต่อเมื่อ... สูญเสียสิ่งนั้นไปแล้ว

ที่ตลกยิ่งกว่า... คือโดคยองซูก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน เพราะเด็กหนุ่มเลือกจะแสดงออกว่า 'เขาไม่รู้สึกอะไร' แทนที่จะแสดงความ 'เสียใจ' ออกมา

ดังนั้นเมื่อปาร์คชานยอล... อดีตเพื่อนสนิทเอ่ยชื่อ 'คิมจงอิน' ที่หนี...ไม่สิ ต้องใช้คำว่าที่ไปเรียนต่อต่างประเทศในชั้นปีสุดท้ายตามหลักสูตรวิศวกรรม ศาสตร์ของมหาวิทยาลัย คยองซูจะสามารถหัวเราะออกมาได้ราวกับไม่เคยรู้สึกอะไรกับผู้ชายคนนั้นมาก่อน

"เห็นแบบนั้นน่ะ ฮ็อตนะโว้ย แต่ตอนนี้เหมือนจะมีตัวจริงแล้วมั้ง"

"จริง เหรอ สวยปะ?" คยองซูไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไรเขาถึงมั่นใจว่า 'ตัวจริงในตอนนี้' ของจงอินจะต้องเป็น 'ผู้หญิง' แต่ดูเหมือนเสียงหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีของเขาจะเรียกเรียวคิ้วเข้มของ ปาร์คชานยอลที่คว้าแก้วเบียร์สดขึ้นมากระดกจนฟองติดไรหนวดให้กระตุกมุ่น ร่างเล็กเพียงแค่ยักไหล่ ส่งรอยยิ้มกลับไปให้เพื่อนตัวสูงกว่าที่วางมือลงลูบหัวเขาเบาๆ

"ไม่รู้สึกอะไรเลยสินะ"

"จะให้รู้สึกอะไรล่ะ ...ผ่านมาตั้งปีกว่าแล้ว"

คยอง ซูตอบหน้าตาย เขารู้ดีว่าปาร์คชานยอลต้องการจะ 'ลองใจ' ถึงได้เลือกเล่าเรื่องของจงอิน... ที่เขาตั้งใจขาดการติดต่อในทุกๆ ด้านให้ฟังเห็นเพลย์บอยแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วไอ้หมอนี่ 'รักเพื่อน' มากกว่าใครเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่คยองซู 'เปิดใจให้' ในโลกใบนี้

เพียงแต่... น่าแปลกเหลือเกิน...
ที่เสียงทุ้มของชานยอลจะกระชากหัวใจใต้ดวงหน้าร่าเริงเหมือนปกติของคยองซูให้กระตุกวูบ

"ดีแล้วล่ะ ไม่รู้สึกอะไรก็ดีแล้ว ให้ไอ้หมอนั่นมันเจ็บไปคนเดียว ฉันจะได้เชียร์ให้มันจริงจังกับยัยนั่นให้เต็มที่ซะที"

ดูท่าชานยอลคงจะเห็นแววตาฉงนของเขา... มือใหญ่เลยขยี้เรือนผมนุ่มของคยองซูเบาๆ พลางบอกเล่า 'ความจริง' ด้วยใบหน้านิ่งๆ ราวไม่ต้องการจะแสดงอารมณ์เพื่อตัดสินการกระทำของใคร

"ตอนนั้น... ตอนที่จงอินมันบอกเลิกนายน่ะ รู้มั้ยว่ามันหวังอะไร..."

"มันหวังให้นายโทรกลับไปบอกว่า... รักมัน อย่าทิ้งกันไปเลย แต่กลายเป็นว่าพอนายโทรกลับไปพูดว่า 'เลิกกันก็ดี' มันก็เลยไม่รู้จะไปต่อยังไง... ตลกเป็นบ้า ตอนนั้นมันมาร้องไห้ฟูมฟายกับฉัน ถามฉันว่า... ที่ผ่านมานายไม่เคยรักมันเลยเหรอ"

"ฉันก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไง... นั่นดิวะคยองซู..."

"นายเคยรักจงอินมันบ้างหรือเปล่า"

...ฉันรักดโยนะ...


If I should leave this lonely world behind
Your voice will still remember our melody
Now I know we'll carry on


"หมอนั่นไม่ได้เชิญใคร เพราะคงแต่งที่เยอรมันแล้วฝึกงานที่นั่นต่อเลย"

ดวงตาเรียวใต้แพขนตาปลอมดกหนาของเพื่อนสาวช้อนมองใบหน้าขาวซีดของคยองซู ก่อนบีบมือของเขาอย่างแผ่วเบา
คยองซูรู้แก่ใจดีว่าแม้ในตอนนั้นริมฝีปากของเขาจะเปื้อนรอยยิ้ม

แต่ภายในหัวใจ... ความอ้างว้างกลับเริ่มกลืนกินทั่วทุกช่องว่างอย่างรวดเร็ว...
มือของเพื่อนสาวแม้จะนุ่มนิ่มไม่สากกร้าน
แต่มันกลับไม่ได้ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนมือของจงอินเลยสักนิด

มือของจงอิน...
ความอบอุ่้นที่เขาเลือกจะ 'สะบัดทิ้ง' อย่างไม่ไยดี
ความอบอุ่นที่คยองซูไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าโหยหาอยู่ตลอดมา...

"จงอินบอกว่าถ้าได้เวิร์กเพอร์มิต เขาอาจจะไม่กลับมาเกาหลีอีกเป็นสิบๆ ปีเลย"

"แต่ หมอนั่นขอร้องพวกฉันว่า... อยากให้ช่วยดูแลนายที เพราะถึงนายจะไม่ต้องการเขาแล้ว แต่จงอินก็ยังเป็นห่วงกลัวว่านายจะไม่ดูแลตัวเองจนล้มป่วยเหมือนช่วงสอบตอน นั้น"

"ถึงจะไม่รักกันแล้ว แต่จงอินก็ยังอยากให้นายมีความสุขนะ คยองซู..."


Melodies of life
Come circle round and grow deep in our hearts
As long as we remember


จงอิน...

คิมจงอิน...

ฉัน... ฉันอาจจะเป็นมนุษย์ที่น่ารังเกียจที่สุดในโลก
และมันอาจจะสายเกินไป... สายเกินไปมากแล้ว

แต่อย่างน้อย... ขอให้คนนิสัยแย่คนนี้ได้พูดว่า...

ฉันรักจงอิน...

สักครั้งเถอะนะ







END

No comments:

Post a Comment