วันนี้ไม่เหมือนทุกวัน สถานที่ที่พวกเราเรียกว่า -บ้าน- แตกต่างไปจากที่เคย
ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่วันนี้เป็นวันพักผ่อน และอีกหลายๆ
ส่วนคงมาจาก...ใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่สุดมุมห้อง
จะเรียกว่าวันพักผ่อนเสียทีเดียวคงไม่ได้แต่คงเรียกได้ว่าวันนี้คือวันที่ผมได้พักมากกว่าทุกวันหลังจากกรำงานหนักมา
ตลอดสามเดือนกับอีกครึ่งเช้า ในที่สุดพวกเราก็ได้อยู่เฉยๆ ตลอดช่วงบ่ายโดยไม่ต้องกังวลกับเรื่องโปรโมท
ตารางซ้อมคอนเสิร์ต หรือคิวงานอื่น สมาชิกในบ้านมีวิธีพักต่างกันออกไป
พี่จองอุนกำลัง ขะมักเขม้นกับคอมพิวเตอร์เสียจนปลายจมูกแทบจะแตะกับหน้าจอแอลซีดีใหญ่ยักษ์
รยออุคหายเงียบเข้าไปในห้องนอนได้สักพัก พี่ซองมินดูเหมือนจะกำลังขลุกอยู่กับคู่หูที่หน้าจอทีวี...ผมน่าจะเรียกว่า
ขลุกหรือควรจะเรียกว่าคลุกกันนะเพราะศีรษะที่โผล่พ้นพนักพิงขึ้นมามองไกลๆ แทบแยกไม่ออกว่าไหนคือพี่ซองมินหรือว่าพี่ทงเฮ
หึ ดีจังนะคนน่ารักทำอะไรก็ดูไม่น่าเกลียด
พื้นที่ภายใต้กรอบการมองเห็นของผมมีอยู่แค่นี้ อ้อ...น่าเห็นใจพี่อีทึกกับพี่คังอินเพราะเป็นแค่สองคนที่ยังต้องอยู่ทำงานต่อ
“คุณคยูฮยอนครับช่วยสนใจกระผมด้วย แม้คุณจะเป็นเจ้ายุทธภพแต่ก็ไม่ต้องอ่อนให้ถึงขนาดนี้หรอกนะครับ
กระผมก็พอมีฝีมืออยู่บ้าง...สนใจกูด้วย!” เสียงสบถตบท้ายประโยคเต็มไปด้วยอารมณ์ ผมตวัดหางตามองอีฮยอกแจคู่มือดวลเกมส์ที่ไม่แม้แต่จะยอมละสายตาไปจากจอโทรทัศน์
“ก็พี่อ่อนจริงๆ นี่...”
“...............”
Game Over
“ไอ้
@$#@$@&$^*^&*(*^%&$%” ผมปล่อยให้ลิงตัวขาวร่ายคำด่าจนสาแก่ใจ คนแพ้มักจะเก็บกดและมีแนวโน้มว่าจะอารมณ์แปรปรวนได้ง่าย
ยิ่งเฉพาะกับคนที่...แพ้มาตลอดอย่างฮยอกแจฮยองความอัดอั้นย่อมสูงเป็นหลายเท่าของคนทั่วไป
“เล่นเต็มฝีมือ อย่าให้รู้ว่าอ่อนให้อีกนะไอ้มักเน่” คนที่ภายนอกดูเอวบางร่างน้อยแต่กลับอุดมไปด้วยมัดกล้ามชันเข่าข้างหนึ่งขึ้นอย่างเตรียมพร้อม
ผมรับจอยเกมส์มาถือไว้อย่างไม่ขัดข้อง สองตาจับจ้องหน้าจอราวกับกำลังทุ่มเทความสนใจอยู่แค่นั้น
ทว่า...ผมไม่ได้สนุกเลยสักนิด แม้แต่รอยยิ้มที่แตะแต้มอยู่บนริมฝีปากในยามนี้ก็หลอกลวง
สมองผมมีแค่เรื่องบางเรื่องที่ยังค้างคาอยู่ในใจ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าอารมณ์ของผมจะกำลังเบี่ยงเบนไปในทิศทางใด
ผมกำลังหงุดหงิด และโมโหร้ายอย่างที่สุด!
Game Over
“อ๊ากกกกกกก...ไอ้เวรคยู!” ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรลงไป พอนึกถึงสิ่งที่สั่งสมอยู่ในใจสมองมันก็สั่งงานให้หาหนทางระบายออก
และมือก็ปฏิบัติการลงไปอย่างรวดเร็วกว่าทุกครั้ง ผมจบเกมส์ด้วยเวลาไม่ถึงสองนาทีทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังใจเย็นทนเล่นเป็นเพื่อนอีฮยอกแจได้ถึงเกมส์ละกว่าสิบนาที
“จะไปไหนวะ นั่งเลยๆ ชนะแล้วคิดจะชิ่งเหรอ”
“พี่ไม่เคยพัฒนาฝีมือเลย ผมเบื่อแล้ว” คนที่เคยติดเกมส์อย่างหนัก
และแม้จะถอดถอนตัวเองออกมาจากคำนั้นได้แล้วแต่ก็ไม่เคยสามารถพูดได้เต็มปากว่า-เบื่อ-มาวันนี้ผมเซ็งเอาจริงๆ
จังๆ ไอ้ที่หวังใจว่าจะใช้เรื่องที่ชอบ สิ่งที่รักในการผ่อนคลายความตึงเครียดเป็นอันพอกันที...
ในเมื่อมันไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง ไม่ใช่สาเหตุของความหงุดหงิดที่แท้จริงต่อให้ผมเล่นเกมส์ชนะพี่ฮยอกแจอีกสักร้อย
พันครั้งมันก็ดับความงุ่นง่านในใจผมไม่ได้
“ไอ้เด็กเวรกลับมาก่อน กลับมาเดี๋ยวนี้เลย...แมร่ม!” ผีเกมส์เมอร์กำลังเข้าสิงอีฮยอกแจจนถ้อยคำที่ผ่านริมฝีปากสีสวยออกมาเต็มไปด้วยภาษาดอกไม้อย่างที่เวลาปกติจะไม่กล้าใช้
โดยเฉพาะต่อหน้าพี่อีทึก นอกจากจะไม่สนใจปฏิบัติตามคำขอร้องแกมบังคับจากคนขี้แพ้แล้ว
ผมยังเดินหนีไปในทิศทางที่คิดว่าน่าจะดีที่สุด...ห้องนอน
กึ่ก
กึ่ก
กึ่ก
เกิดเป็นโจคยูฮยอนช่างลำเค็ญนัก! ผมคิดแล้วก็พร่างพรูลมหายใจ...พร่างพรูเหรอ ไม่สิคำนั้นดูดีเกินไป...ผมกระแทกลมหายใจออกจากนั้นก็สูดเอาออกซิเจนเข้าไป
ใหม่พร้อมกับหมุนตัวมุ่งไปยังเส้นทางใหม่
“นายจะไปไหน”
“ห้องน้ำ...” ระดับความสูงของคนตรงหน้าไม่ได้ด้อยกว่าผมการจะยืนต่อตากันเลยทำได้ง่าย
แต่ผมเบนสายตาลงต่ำ
“นายควรจะเรียกให้ใครช่วย ไม่ใช่เดินไปไหนมาไหนเองตามใจชอบแบบนี้”
“ห้องน้ำอยู่แค่นี้เอง น่าจะพอดูแลตัวเองได้”
“แต่นายกำลังไม่สบาย”
“พี่ไม่ได้ป่วย”
“ฉันหมายถึงขา”
“อ้อ...” คนที่กลายเป็นบุคคลทุพลภาพชั่วคราวลากเสียงยาว
ผมต่อตากับคนตรงหน้าได้แล้ว แต่ก็แค่สามวินาทีแล้วมือมันก็ยกขึ้นประสานที่อก หน้าก็เชิดมองไปทางอื่นโดยอัตโนมัติ...เว้ย
ผมละเกลียดจริงๆ เวลาที่ตัวเองเป็นแบบนี้
“...............”
“หลบหน่อยได้ไหม พี่จะไปห้องน้ำ” เพิ่งรู้ว่าตัวเองยืนขวางทางเดินไว้ทั้งหมดก็ตอนที่เสียงทุ้มต่ำนั้นร้องเตือน
แผ่วเบาแต่ทรงอำนาจจน...ผมยอมฉากหลบให้นิดหน่อยอย่างที่เจ้าตัวเขาขอ
“ฉันจะช่วย”
“ไม่เป็นไรนายไปนอนเถอะ”
“รู้ได้ยังไงว่าฉันจะไปนอน”
“ก็เห็นเดินไปที่ห้อง”
“ฉันอาจจะไม่ได้อยากนอนก็ได้”
“แต่ปกติเวลานายหงุดหงิด หรือ...โกรธ นายชอบหลบไปนอน” ปล่อยคนพิการให้ล้มหน้าคว่ำจูบพื้นห้องนี่ผิดบาปมากไหม ผมละอยากจะลองดูสักครั้ง!
“นายโกรธจริงๆ ด้วย”
“เปล่า!”
“งั้นหงุดหงิด”
“เปล่า!”
“ไปนอนเถอะ พี่ดูแลตัวเองได้มีตั้งสี่ขา รับรองไม่ล้ม” ถึงแม้สถานการณ์จะไม่เอื้อแต่ผมรู้ว่าริมฝีปากหยักโค้งได้รูปของคิมคิบอมกำลังแย้มเป็นรอยยิ้มสวย
ดวงตาสีจัดก็คงกำลังทอแสงอ่อนละมุนเหมือนน้ำเสียงที่เปล่งออกมา อบอุ่น อ่อนโยน คือคำจำกัดความของผู้ชายคนนี้
ซะเมื่อไหร่ละ! ที่พูดออกมาน่ะประชดกันชัดๆ
“พระเอกเวลาพิการก็ไม่ได้น่ามองนักหรอกนะ” เอาสิคิมคิบอมประชดเป็นคนเดียวที่ไหน
โจคยูฮยอนก็เก่งไม่แพ้ใครหรอกนะ!
“พี่ดูแย่มากไหม”
“แย่”
“มากไหม”
“มาก”
“นั่นสินะ...พี่คงดูแย่จนแม้แต่หน้านายก็ไม่อยากมอง” มือที่คอยจับประคองอยู่ที่แขนข้างหนึ่งคลายออกด้วยความรวดเร็ว เกือบจะได้เห็นพระเอกล้มคว่ำลงไปกองกับพื้นจริงๆ
คิบอมเซถลาเพราะถ่วงสมดุลร่างกายได้ไม่ทันกับสองมือที่ผละออก
“เฮ้ย...” สองมือขาวจัดสอดเข้ารัดรอบเอวสอบ
แรงปะทะและน้ำหนักตัวของคนพิการ(ชั่วคราว) ทำให้คยูฮยอนเสียหลัก
แทนที่จะได้ช่วยเลยกลายเป็นตัวเองที่ถูกพระเอกประคองไว้แทน ไม้เท้าข้างหนึ่งหล่นกระแทกพื้นเสียงดังแต่ไร้ซึ่งวี่แววแห่งความสนใจใคร่ดีจากพี่คนอื่นๆ
ถ้าคยูฮยอนถูกคิบอมล้มทับแขนเดาะ สะโพกครากไปอีกคนคราวนี้คงยิ่งกว่าสนุกละ!
“เจ็บหรือเปล่า” เสียงทุ้มนุ่มนวลกระซิบถาม ใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมร้อนที่รินรดลงบนซอกคอ ใกล้เสียจนสัมผัสได้ถึงจังหวะที่ริมฝีปากขยับปะทะผิวเนื้ออ่อน
“เจ็บ!...คิมคิบอม ฉันเจ็บ!” ผมกระชากเสียงเต็มอารมณ์หงุดหงิด เจ็บแปลบที่ซอกคอ
“เจ็บตรงไหน” เสียงอู้อี้ฟังไม่ถนัดแต่ก็ยังพอจับใจความได้เพราะกระซิบอยู่ไม่ไกล
“คอ...ปล่อย!”
“ฉันล้มทับเลยทำให้นายเจ็บสินะ...” ซอกหลืบหน้าประตูห้องน้ำรวมมิดชิดและมืดสลัว
แต่...มันไม่ได้มากพอที่คิบอมจะทำอะไรตามอำเภอใจได้เสียหน่อย ผมดันร่างสูงที่กำลังทาบทับสุดแรงได้ช่องว่างแค่มดเดินผ่าน
แผ่นอกเรียบตึงและน้ำหนักตัวของคิบอมกำลังจะทำให้กระดูกข้อมือของผมเดาะอีกหนึ่งอย่าง
“คิมคิบอม ปล่อยสิ ฉันจะลุกขึ้น!” อารมณ์หวิววับในอกเริ่มมีอิทธิพลเหนือกลุ่มหมอกควันของความหงุดหงิด
ริมฝีปากคู่นั้นหยุดการรุกรานแล้วก็จริง แต่ไม่ใช่เรื่องดีเลย...ตอนนี้ผมถูกบังคับให้สบตาสีดำจัดแฝงแววหวานแสนเจ้าเล่ห์แทน
“โกรธอะไรพี่หรือครับ” ใครบอกว่าคิมคิบอมแสนดี คนดีที่ไหนจะมานอนทับคนอื่นแถมยังก้มหน้าลงมาจนริมฝีปากจะประกบกันอยู่หน้าห้องน้ำอยู่แล้ว
“ลุกขึ้นได้หรือยัง ฉันอึดอัด!”
“บอกมาก่อนว่าโกรธอะไร”
“ไม่ได้โกรธอะไรทั้งนั้น!” เอาละ เขายั่วจนผมเริ่มเก็บอารมณ์ตัวเองไม่อยู่แล้วตอนนี้
เสียงที่พยายามให้เบาแสนเบาเริ่มดังขึ้นทีละน้อย
“โกรธสิ นายโกรธพี่”
“เอ๊ะ ก็บอกว่าเปล่า”
“โจ...” ผมเม้มปากแน่นเบี่ยงหน้าหลบสายตามองไปทางอื่นที่ไม่ใช่ผิวเข้มและปลายจมูก โด่งเป็นสันของคนที่เพิ่งสะกดชื่อสกุลของผมด้วยสุ้มเสียงทอดอ่อน
“โจ...” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เป็นผลพวงมาจากการเรียกครั้งที่สอง
ทั้งที่พยายามทำแข็งใจ สู้อุตส่าห์วางตัวเงียบขรึม โกรธขึ้งมาได้ตั้งเกือบสองวัน แต่...แค่สองชั่วโมงที่คิมคิบอมมาอยู่ร่วมบ้านผมก็คิดอะไรไม่ออกเสียแล้ว
ทำไมใจง่ายจังวะโจคยูฮยอน
“นายไม่รู้ว่าฉันโกรธเรื่องอะไร แล้วรู้ได้ไงว่าฉันโกรธ” คำถามฟังดูงงๆ แต่ผมเริ่มคิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ คิบอมใช้ท่อนแขนข้างหนึ่งยันพื้นไว้สำหรับทรงตัว
แต่อีกมือเกาะแกะอยู่แถวปลายนิ้วเรียวของผม
“รู้สิ” รู้...รู้...รู้
คิมคิบอมบอกว่ารู้แต่ผมสงสัย...เขารู้อะไร และรู้ได้อย่างไร
“จะพูดแค่นี้ใช่ไหม...ฉันอยากลุกขึ้นแล้ว”
“นายแทนตัวเองว่า ฉัน และเรียกพี่ว่า นาย...” ผู้ชายคนนี้ทำให้ผมร้อนผ่าวที่หน้า ลมหายใจก็ติดขัดเพราะเสียงทุ้มที่ทอดต่ำ
ไม่ได้ตัดพ้อต่อว่า แต่ตรงไปตรงมาเสียจนโจคยูฮยอนหน้าหงาย
“ปกตินี่ไม่มีอะไรแปลกเสียหน่อย....ใครๆ ก็รู้”
ถ้าได้ยืนตัวตรงเป็นตัวของตัวเองจะแถมท่ายักไหล่เท่ห์ๆ แบบไม่แยแสอะไรให้ด้วย
แต่ตอนนี้ทำได้แค่เลิกคิ้วน้อยๆ กับเบ้ปากนิดๆ
“เฉพาะเราสองคน ไม่เกี่ยวกับคนอื่น”
“แต่ตอนนี้ไม่ได้มีแค่เราสองคน ยังมีคนอื่น”
“พี่ไม่เห็นใครอื่นนอกจากเราสองคน” คุณพระเอกเขาเริ่มท่องบทละครอีกแล้วหรือเนี่ย แต่ เอ เท่าที่รู้...ช่วงนี้คิบอมไม่มีละครนะ
“พี่จองอุนกำลังเล่นคอมพิวเตอร์ พี่ซองมินกับพี่ทงเฮกำลังนั่งดูละคร
พี่ฮยอกแจ...เล่นเกมส์ รยออุค...ถ้าพี่ยังไม่ยอมลุกขึ้น อีกเดี๋ยวอาจจะมีใครมาเจอเราเข้าก็ได้”
ประโยคขาดๆ หายๆ เพราะกำลังใจถูกปั่นทอนให้ลดต่ำด้วยสัมผัสนุ่มหยุ่นที่คลอเคลียอยู่บนกลีบปากสดฉ่ำ
แค่จูบเดียวคยูฮยอนก็ลืมสรรพนามห่างเหินที่จงใจใช้เว้นระยะห่างเสียสิ้น
คิบอมยิ้มอย่างคนเป็นต่อ
“นายกลัวคนอื่นจะรู้เรื่องของเรา หรืออายที่ถูกพี่จูบ”
“แล้วพี่ชอบให้ตัวเองถูกผู้ชายจับกดหน้าห้องน้ำไหมละ” คนเป็นพี่หัวเราะในคอ ผมเห็นกระเดือกที่ขยับขึ้นลงแล้วก็นึกอยากบีบให้แหลกคามือ...ถ้ามือผมว่างพอจะทำอย่างนั้นได้นะ
“งั้นนั่งคุยกัน” คนแทนตัวว่าพี่พูดแล้วก็ขยับลุกขึ้นพร้อมกับดึงคนที่ต้องรับสภาพของน้องอย่างผมให้ลุกนั่งประจันหน้ากันที่เดิม
“ไม่เอาหน้าห้องน้ำ” คิบอมมองตามร่างสูงโปร่งที่ขยับลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
ไม่ต้องออกปากขอความช่วยเหลือแค่เอื้อมมือดึงไม้เท้าความช่วยเหลือก็ถูกหยิบยื่นแทบจะทันที
“พี่อยากคุยกับนาย ที่ไหนก็ได้” ผมถูกคนพิการแค่ชั่วคราวทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดให้เป็นภาระสุดท้ายก็ถูกดันจนแผ่นหลังเบียดชิดกับผนัง
ครั้งนี้ไม่ได้โดนกด แต่ถูกกักไว้ด้วยร่างหนา
เห็นหรือยัง...คิมคิบอมน่ะเจ้าเล่ห์แค่ไหน
“ผมไม่ชอบถูกกักตัวเป็นนางเอกละครหลังข่าวด้วยเหมือนกัน” คิบอมยิ้มเรื่อย รู้ว่าต่อให้ไม่ชอบเพียงไรแต่คนในอ้อมกอดอย่างผมก็จะไม่มีวันทำอะไรรุนแรงอย่างแน่นอน...ใช่สิ
คิมคิบอมเป็นคนเจ็บนี่นะ
“ขาพี่เจ็บอยู่นะ”
“ก็ไหนบอกว่ามีตั้งสี่ขา” เท่านั้นแหละไม้เท้าทั้งสองข้างก็ถูกผลักออก
คราวนี้ไม่ใช่แค่ร่างกายที่บดเบียดแต่วงแขนก็กางกั้นปิดทางหนี
“โจ...บอกได้หรือยังว่าโกรธพี่เรื่องอะไร” เลี่ยงมาได้สองวัน อึดอัด อัดอั้น หงุดหงิด เคืองขุ่นจนพาลเหวี่ยงใส่คนนู้นคนนี้ไปทั่ว
ส่วนต้นเหตุแค่ถามไม่กี่คำอารมณ์เหล่านั้นของผมก็คล้ายจะมลายสูญหายไปพร้อมเสียงเรียกชื่อสกุลในแบบที่เจ้าตัวเขาชอบนักหนา
“เจ็บหนักทำไมไม่บอก จะไปพักฟื้นที่อเมริกาทำไมไม่บอก” แล้วผมจะทำอะไรได้ ในเมื่อไม่เหลือมาดให้ต้องรักษาอีกต่อไปสิ่งที่เก็บกักไว้ก็ล้นออกมาง่ายๆ
คิบอมคงแปลกใจที่ผมหยุดเอาเฉยๆ เขามองหน้าผมอย่างรอคอยแต่ไม่ละผมจะไม่ยอมให้เขาสมหวังมากไปกว่านี้อีกแล้ว
“รู้หมดแล้วนี่”
“ผมรู้จากคนอื่น” คิบอมอาจจะคิดว่าไม่สำคัญ
แต่คยูฮยอนเห็นว่าสำคัญอย่างยิ่ง
“เรื่องอาการพี่ตั้งใจจะบอกเราแต่ช้ากว่าซึงฮวานฮยอง ส่วนเรื่องไปอเมริกาฮยองก็เป็นคนจัดการทั้งหมด”
แค่ประโยคเดียวคิบอมก็สรุปรวบใจความได้ครบถ้วนจนหาช่องมาโจมตีต่อไม่ได้เลย
แต่ระดับคยูฮยอนมันต้องมีสักทางละน่า
“ทำไมต้องไปไกลด้วย”
“ฮยองคงกลัวไม่มีใครดูแลมั้ง ทุกคนกำลังยุ่ง”
“ก็มาอยู่เสียด้วยกัน คนเยอะแยะช่วยๆ กันดูก็ได้...ผมแค่เป็นห่วง
สภาพแบบนี้เดินทางลำบาก” ร้อนรนปกป้องตัวเองเสร็จสรรพ
แต่ช้าไปไหมโจคยูฮยอน
“พี่จะเก็บความห่วงใยของนายใส่กระเป๋าไปด้วย”
อ่า...
“ต้องไปจริงๆ หรือครับ” คิบอมพยักหน้ารับแทนคำพูด
ผมถอนหายใจแรงๆ อยากจะโกรธต่อแต่สีหน้าของคนเป็นพี่ทำให้คิดอะไรไม่ออกแล้ว ผมหมดข้ออ้างจะโกรธคิบอมแล้วนี่
“นานไหม”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะ...ไม่นานมั้ง”
“นานแน่ๆ หมอบอกให้พักหกสัปดาห์ เกือบสองเดือนเลยนะ” ผมอดแปลกใจตัวเองไม่ได้
ทั้งที่ปกติก็ไม่ได้เจอกันบ่อยๆ แต่พอรู้ว่าคิบอมจะไปไกลถึงอเมริกาผมกลับรู้สึก...เหงาจัง
“นานจัง”
“อืม นาน...” ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้ายังไง
แต่ผมเห็นคิบอมยิ้มรื่น หน่วยตาดำจัดเปล่งประกายวาววับให้อกใจผมพลอยหวีดหวิวไปด้วย
“ต้องบอกหรือเปล่าว่าจะคิดถึง” คนพูดน่ะตาวาวคาดหวังคำตอบที่คล้ายคลึงกัน คิดถึงน่ะคงคิดถึงอยู่หรอก...แล้วผมต้องพูดด้วยเหรอ
“ไม่ต้องก็ได้ ผมคงไม่ค่อยว่างเท่าไหร่”คราวนี้ตาคมหรี่ลงและผมรู้สึกตัวช้าไปกว่าจะสำนึกถึงอันตรายของคิมคิบอม
ริมฝีปากที่แต่งแต้มรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนอยู่เสมอก็บดคลึง ฉกชิง เก็บกลืนลมหายใจ กวาดต้อนดูดกลืนและถ่ายเทรสชาติหวานผ่านปลายลิ้นจนตัวผมอ่อนระโหย
ดีเหลือเกินที่แผ่นหลังยังกดติดอยู่กับผนังหนามิเช่นนั้นผมก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าตัวเองจะพยุงร่างกาย
และไม่เผลอทิ้งน้ำหนักเป็นภาระให้คนพิการชั่วคราวต้องลำบาก จูบของพี่คิบอมโหมกระหน่ำ
รุกไล้ ระรานจนต้องยอมแพ้พอถูกเสียงทุ้มกระซิบคาดคั้นผมก็พลั้งปากตอบตกลงไปเสียหมดทุกอย่าง...นี่เจ็บจริงใช่ไหม?
“ทีนี้พอจะหาเวลาว่างได้แล้วใช่ไหม” พอไม่ได้รับคำตอบที่พอใจใบหน้าคมก็ก้มต่ำ
แต่ครั้งนี้ผมใช้ส้นมือดันปลายคางหนาไว้ได้สำเร็จ
“จะพยายามครับ” มือหนาแข็งราวคีมเหล็กหนีบข้อมือของผมออกจากปลายคางแล้วเป้าหมายเดิมก็ถูกกระชับเข้าหาริมฝีปากร้อนพร้อมแรงงับหนักๆ
ให้พอรู้สึก
“ว่างแล้วเนาะ”
“ว่าง(ก็ได้)ครับ” จมูกโด่งฝังเน้นๆ
ลงมาบนแก้มอย่างไม่กลัวรอยช้ำจะปรากฏอวดสายตาใครต่อใคร มือหนากุมมือผมไว้แน่นราวกับกลัวว่าถ้าเบามือกว่านี้ผมจะปล่อยทิ้งไม่ใยดี
“พอใจหรือยังครับ”
“อืม”
“งั้นก็ปล่อย”
“ยังก่อน”
“อ้าว...”
“พอใจแค่คำตอบ” คนพูดน้อยถ้าไม่ถามไถ่ก็อย่าหวังว่าจะได้คำตอบ
“แล้วยังจะเอาอะไรอีก”
“จูบ...ยังไม่พอ ขออีกนะ”
พวกคุณคิดเหมือนผมไหม
คิมคิบอมน่ะร้ายกาจที่สุด!
.
.
.
“โจ”
“ครับ...”
“ยืนไหวไหม”
“หือ...ว่าไงนะครับ” คิบอมต้องกำลังยิ้มอยู่แน่ๆ
เพราะริมฝีปากของเขาคลี่ออกจากกัน ผมมองไม่เห็นแต่...รู้สึกได้
“ยืนไหวหรือเปล่า...ดูเหมือนมีใครสักคนกำลังเดินมาทางนี้ พี่ซองมินหรือไม่ก็พี่ทงเฮ...อาจจะทั้งคู่”
ผมลืมตากว้าง ใจเต้นแรงจนเจ็บในอกได้ยินเสียงเคลื่อนไหวใกล้เข้ามาจริงๆ
“พี่ปล่อยก่อนผมจะหยิบไม้เท้าให้” ในยามปกติคิบอมน่ะแรงมากกว่าผมนิดหน่อย
แต่ขณะที่คิบอมป่วยเรี่ยวแรงผมกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นจนเหนือกว่าเขาได้เลย...ผมไม่กล้าออกฤทธิ์กับคนป่วย
ไม่กล้าทำรุนแรงเพราะกังวลว่าจะกระทบกระเทือนกับขาที่เจ็บ
“ถ้าปล่อยพี่ก็ล้มสิ”
“ขยับมาก่อนแล้วเอาหลังพิงผนังไว้ อย่าเพิ่งถ่ายน้ำหนักมาบนขาข้างที่เจ็บนะ”
ผมพยายามช่วยให้คิบอมขยับตามขั้นตอนที่บอกกล่าว แต่ร่างหนากลับไม่เขยื้อน
“ไม่เป็นไร เกาะนายไว้แบบนี้ก็ได้”
“ไม่ได้...เดี๋ยวใครเห็นเข้าก็เป็นเรื่อง!”
“ใครที่ว่าคงเข้าใจว่านายกำลังช่วยพยุงพี่”
“คิมคิบอม...!”
“ปวดฉี่ๆ ขอทางหน่อยปวดจะแย่แล้ว” ใครคนนั้นตะโกนให้เสียงมาตั้งแต่ก่อนจะโผล่พ้นมุม
กระต่ายสีชมพูตัวอวบขาวก้มหน้าก้มตามองแต่พื้นปากก็พร่ำคำเดิมราวกับมองไม่ เห็นผมที่พยายามเบี่ยงทิศทางให้ดูไม่เป็นรองจนเกินไป
ให้เข้าใจไว้ก่อนว่าผมกำลังช่วยเหลือเพื่อนร่วมวง ไม่ใช่...ดิ้นรนเอาตัวรอด
เสียงประตูปิดตามหลังร่างพี่ซองมินกระตุ้นให้ผมออกแรงดันตัวเองออกจากวงแขนแกร่ง
หักใจไม่สนว่าจะทำให้คนเจ็บหนักกว่าเดิมหรือไม่ ตอนนี้ศักดิ์ศรีผมก็มีค่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ผมได้ยินเสียงหัวเราะขลุกขลักดังมาจากลำคอของคนตรงหน้า แล้วก็แทบไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ
เพราะคิบอมยอมปล่อยง่ายดายจนผมได้แต่ยืนคว้าง คนเจ็บถอยไปยืนพิงผนังอย่างที่ผมแนะนำในตอนแรกพร้อมรอยยิ้มสุขสมใจ
ส่วนผมก็ทำได้แค่กัดฟันจนกรามขึ้นเป็นสันนูน...สนุกจังเลยนะคิมคิบอม!
“ไม้เท้า...นายคงเดินกลับเองได้ใช่ไหม”
“ถ้าฉันบอกว่าไม่ไหวละ”
“ซองมินฮยอง...ช่วยพาคิบอมกลับไปด้วยนะครับ ผมมีธุระด่วนต้องไปทำ” อีซองมินทำแก้มพอง แต่ก็ยอมขยับเข้าช่วยเหลือทว่าคิบอมร้องห้ามเสียงนุ่ม
“ผมไม่เป็นไรครับ มาเองได้ก็กลับเองได้”
“อ่า...เอางั้นเหรอ” พระเอกของบ้านยิ้มตาหยี ซองมินก็ว่าง่ายเหลือทนพอไม่เป็นที่ต้องการของใครกระต่ายตัวขาวก็เขย่งก้าวกระโดดกลับไปในทิศทางเดิม
พอคิบอมก้าวเข้ามาใกล้ผมก็ถอยฉากเรียกเสียงหัวเราะจากคนอารมณ์ดีได้อีกครั้ง
“พี่ไม่ได้จะทำอะไร”
“ผมก็แค่จะหลีกทางให้” ผมเปิดทางให้คนเจ็บเดินผ่านแต่คิบอมกลับหยุดเอาแต่จ้องหน้านิ่ง
“โจ...” อยู่ใกล้แค่นี้ถึงไม่ขานรับคิบอมก็คงรู้ว่าผมได้ยินชัดเจน
“แน่ใจนะว่าอยากให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ”ผมวางท่าเหมือนต้องค่อยๆ
ทำความเข้าใจกับประโยคนั้นทั้งที่เข้าใจแจ่มแจ้ง สีหน้าของคิบอมจริงจัง แต่ภายใต้ความนิ่งเฉยเครียดขรึมนั้นผมรู้ดีว่าคิบอมจะยอมตามใจผมเสมอใน
เรื่องนี้
“ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าคำว่า -เรา- พี่เคยบอกผมแบบนี้ -เรา- ที่หมายถึง พี่กับผม” คิบอมยิ้ม...เห็นไหมว่าเขาตามใจผมเสมอละ
“ถ้าเป็นความต้องการของโจคยูฮยอน คิมคิบอมก็ไม่ขัดข้องครับ” ปกติคนขาเจ็บทั่วไปเคลื่อนไหวได้เร็วแค่ไหนกัน พอผมเผลอคนมีสี่ขาก็กอดกระชับขโมยความหวานไปจากเนื้อตัวผมอีกยก
คงมีแต่เรื่องนี้ละมั้งที่คิบอมไม่เคยยอมตามใจผมสักครั้ง...ผมโดนเอาเปรียบตลอดเลย
^^
END...
No comments:
Post a Comment